SIRI ลุยเปิด 28 โครงการ 3.9 หมื่นลบ. หนุนยอดขายแนวราบปีนี้ 2.4 หมื่นลบ.

SIRI เปิดแผนพัฒนาโครงการแนวราบปี 65 วางแผนเปิดตัว 28 โครงการ 3.9 หมื่นล้านบาท ตั้งเป้าหมายยอดขายโครงการแนวราบในปีนี้ไว้ที่ 2.4 หมื่นล้านบาท คิดเป็น 70% จากเป้าหมายยอดขายรวม


นายอาณัติ กิตติกุลเมธี รองกรรมการผู้จัดการฝ่ายพัฒนาโครงการแนวราบ บริษัท แสนสิริ จำกัด (มหาชน) หรือ SIRI เปิดเผยว่า แผนธุรกิจพัฒนาโครงการแนวราบในปี 65 วางแผนเปิดตัวโครงการใหม่ 28 โครงการ มูลค่าโครงการรวม 3.9 หมื่นล้านบาท แบ่งเป็น บ้านเดี่ยว 11 โครงการ มิกซ์โปรดักส์ 5 โครงการ และทาวน์โฮม 12 โครงการ ครอบคลุมทุกเซกเมนต์ โดยมีสัดส่วนกลุ่มบ้านระดับราคาเข้าถึงง่าย 45% ระดับบ้านกลาง-บน 26% และกลุ่มบ้านหรู 29%

ทั้งนี้ SIRI ตั้งเป้าหมายยอดขายโครงการแนวราบในปีนี้ไว้ที่ 2.4 หมื่นล้านบาท คิดเป็น 70% จากเป้าหมายยอดขายรวม และวางเป้ายอดโอนโครงการแนวราบไว้ที่ 2.2 หมื่นล้านบาท หรือคิดเป็น 63% จากเป้าหมายยอดโอนรวม

โดยในไตรมาส 1/65 บริษัทได้รุกแบรนด์บ้านเดี่ยวสราญสิริ ที่เปิดพร้อมกัน 5 โครงการ ใน 5 ทำเลครอบคลุม ได้แก่ โครงการสราญสิริ ประชาอุทิศ 90 สราญสิริ รามคำแหง สราญสิริ เทียนทะเล 30 สราญสิริ พระราม 2 และสราญสิริ บางนา ราคาเริ่มต้น 5.6912 ล้านบาท ซึ่งบริษัทมองเห็นถึงกลุ่มลูกค้าที่เป็นกลุ่มลูกค้าเป้าหมายของแบรนด์สราญสิริ ที่ยังมีความต้องการบ้านเดี่ยวที่มีพื้นที่ใช้สอยตอบโจทย์ไลฟ์สไตล์คนรุ่นใหม่ในปัจจุบัน และกลุ่มลูกค้าที่มีกำลังซื้อสูงที่ยังมองหาบ้านเพื่ออยู่อาศัยหลังแรก

ทั้งนี้บริษัทได้นำแนวคิดใหม่ “WHERE THE LOVE EXPANDS” ด้วยบ้านเดี่ยวซีรีย์ใหม่ สไตล์ Modern Farmhouse และฟังก์ชันที่ออกแบบใหม่ทั้งหมด ซึ่งมีแรงบันดาลใจมาจากไลฟ์สไตล์การใช้ชีวิตของครอบครัวรุ่นใหม่ ที่โหยหาการใช้ชีวิตใกล้ชิดธรรมชาติ จึงเป็นที่มาของดีไซน์ Modern Farmhouse ที่ให้ความรู้สึกอบอุ่นและนำธรรมชาติมาอยู่รอบๆ ตัว ผสมกับการออกแบบฟังก์ชัน ใหม่ที่ให้ครอบครัวได้มีพื้นที่ในการใช้เวลาอยู่ร่วมกันทั้งในบ้านและในโครงการ แต่ก็ยังคงมีพื้นที่ส่วนตัวของแต่ละคน ซึ่งมั่นใจว่าจะตอบโจทย์ความต้องการของลูกค้าที่สนใจโครงการสราญสิริ

นอกจากนี้ ในช่วงไตรมาส 2/65 บริษัทจะเปิดตัวโครงการบ้านหรูแบรนด์ใหม่ คือ โครงการ DEMI สาธุ 49 ซึ่งจะเป็นอีกหนึ่งโครงการไฮไลท์ในช่วงไตรมาส 1/65 ที่มั่นใจว่าจะได้รับกระแสตอบรับที่ดีจากลูกค้า จากทำเลที่ตั้งโครงการที่มีศักยภาพ รวมทั้งออกแบบบ้านโดยเฉพาะและมีความทันสมัย

ส่วนแบรนด์โครงการเศรษฐสิริ นราสิริ คณาสิริ และสิริเพลส จะทยอยเปิดโครงการในช่วงไตรมาส 2/65 เป็นต้นไป โดยที่ในแต่ละไตรมาสบริษัทคาดว่าเปิดโครงการใหม่จำนวน 5-7 โครงการ/ไตรมาส

นายอาณัติ กล่าวว่า บริษัทยังคงมองว่าตลาดแนวราบในปีนี้ยังคงมีการเติบโตอย่างต่อเนื่อง จากความต้องการของลูกค้าที่พฤติกรรมเปลี่ยนแปลงมาซื้อบ้านแนวราบมากขึ้น เพราะต้องการพื้นที่ใช้สอยมากขึ้น สามารถปรับเปลี่ยนรูปแบบการใช้พื้นที่ได้ตามความต้องการ ทั้งการอยู่อาศัย และการทำงานในบ้าน ทำให้บ้านแนวราบยังคงได้รับความนิยมมาต่อเนื่อง จะเห็นได้จากในช่วง 2 เดือนที่ผ่านมายังทำยอดขายได้ดีต่อเนื่องและเป็นที่พอใจ

อีกทั้งหนึ่งในปัจจัยที่บริษัทให้ความสำคัญ คือ สิ่งอำนวยความสะดวกในบ้านที่จะต้องตอบสนองความต้องการของลูกค้าที่จะปรับเปลี่ยนไปในอนาคต โดยเฉพาะในเรื่องพลังงาน ซึ่งบริษัทจะมีการเพิ่มในส่วนของการประหยัดพลังงานในส่วนของโซลาร์รูฟท็อปที่สามารถช่วยลูกค้าที่ซื้อบ้านของ SIRI ประหยัดค่าไฟได้ และการติดตั้งที่ชาร์จรถยนต์ไฟฟ้าให้กับลูกค้าในบ้านทุกหลัง เพราะแนวโน้มการใช้รถของคนจะเริ่มปรับเปลี่ยนการใช้รถยนต์ไฟฟ้ามากขึ้น

อย่างไรก็ตาม บริษัทยอมรับว่าการแข่งขันของตลาดแนวราบจากผู้ประกอบการต่างๆในปัจจุบันมีความรุนแรงมากขึ้น เพราะผู้ประกอบการทุกรายต่างเห็นโอกาสของการเติบโตของตลาดแนวราบ ทำให้ในปีนี้จะได้เห็นว่ามีการเปิดโครงการแนววราบใหม่มากกว่า 10 โครงการ/ไตรมาส สะท้อนภาพการแข่งขันที่มากขึ้น ซึ่งบริษัทจะต้องมีการคำนึงถึงทำเล ราคา ดีไซน์ที่ตรงกับความต้องการของลูกค้าให้มากที่สุด เพื่อช่วงชิงโอกาสทางการตลาด

ส่วนในด้านการโอน ก็จะต้องพยายามช่วยเหลือลูกค้าในการขอสินเชื่อให้ได้มากขึ้น ซึ่งเป็นอีกหนึ่งปัจจัยที่บริษัทให้ความสำคัญ หลังจากปัจจุบันอัตราการปฏิเสธสินเชื่อของตลาดบ้านยังอยู่ในระดับสูง โดยเฉพาะกลุ่มบ้านระดับราคา 2-3 ล้านบาท ซึ่งบริษัทยังมีการดีลกับธนาคารพันธมิตรและให้คำปรึกษากับลูกค้าในการช่วยให้ขอสินเชื่อและซี้อบ้านได้ตามที่ลูกค้าต้องการ

ขณะที่แนวโน้มราคาต้นทุนการก่อสร้างที่เพิ่มขึ้นนั้น บริษัทมองว่าจะมีผลกระทบต่อราคาบ้านในบางกลุ่มบ้าง แต่ยังคิดเป็นสัดส่วนที่น้อยมากเมื่อเทียบกับต้นทุนราคาที่ดิน ซึ่งในกลุ่มบ้านระดับกลาง-บน อาจจะมีการปรับขึ้นราคาบ้างเพื่อให้สอดคล้องกับต้นทุนที่เพิ่มขึ้น อย่างเช่น บางโครงการบริษัทได้ทำเลที่มีต้นทุนสูงมาก็จะมีการปรับราคาขายให้สูงขึ้นตาม แต่ในส่วนของต้นทุนก่อสร้างบริษัทจะทราบต้นทุนจากผู้รับเหมาก่อนหน้านี้แล้วในการทำสัญญาว่าจ้าง ทำให้สามารถประเมินต้นทุนล่วงหน้าได้ และไม่กระทบต่อราคาขายโครงการใหม่ๆ มากนัก และมองว่าปัจจัยดังกล่าวเกิดขึ้นเพียงชั่วคราว หากสถานกานณ์ต่างๆ คลี่คลายลงแล้ว ราคาต้นทุนต่างๆ จะกลับเข้าสู่ภาวะปกติ

Back to top button