1 เดือนสงครามจบ?
*หลังจากให้พื้นที่กับหุ้นร้อนไปเมื่อวันก่อนแบบจุใจ ก็มีมิตรสหายอันเป็นที่รักส่งข้อมูลใหม่เข้ามามากมาย “โมนิก้า” จึงขอเวลารวบรวมข้อมูลอีกสักสองสามวัน ต่อจากนั้นจะทำการเปิดบัญชีหนังหมาเกี่ยวกับหุ้นปั่นอีกครั้ง เพราะบรรดาแมงเม่าอยากเผือกมากเหลือเกิน จึงต้องจัดให้ตามคำเรียกร้องของมวลมหาชนสักหน่อย เพราะบรรยากาศการลงทุนค่อนข้างอึดอัดจนทำอะไรไม่ถูกน่ะซี
*หลังจากให้พื้นที่กับหุ้นร้อนไปเมื่อวันก่อนแบบจุใจ ก็มีมิตรสหายอันเป็นที่รักส่งข้อมูลใหม่เข้ามามากมาย “โมนิก้า” จึงขอเวลารวบรวมข้อมูลอีกสักสองสามวัน ต่อจากนั้นจะทำการเปิดบัญชีหนังหมาเกี่ยวกับหุ้นปั่นอีกครั้ง เพราะบรรดาแมงเม่าอยากเผือกมากเหลือเกิน จึงต้องจัดให้ตามคำเรียกร้องของมวลมหาชนสักหน่อย เพราะบรรยากาศการลงทุนค่อนข้างอึดอัดจนทำอะไรไม่ถูกน่ะซี
*ประกอบกับช่วงสองสามวันที่ผ่านมามีการประเมินกันว่า สงครามที่เกิดขึ้นน่าจะจบลงในช่วงเดือน พ.ค. เท่ากับเป็นการส่งสัญญาณให้รู้ว่า ตลาดหุ้นทั่วโลกจะตกอยู่ในภวังค์อีกระยะหนึ่ง และจะทำให้หุ้นแกว่งตัว “ขึ้น ๆ ลง ๆ” ไปอีกนาน ซึ่งสอดรับกับข้อเขียนที่ “โมนิก้า” เกริ่นให้แฟนคลับอ่านก่อนหน้านี้ว่า ผลประกอบการไตรมาส 1 จะเป็นตัวตัดสินชะตาหุ้นไทย ซึ่งจะตรงกับช่วงเดือน เม.ย. และยังมีผลคาบเกี่ยวไปถึงเดือน พ.ค. ไงล่ะคะ
*สถานการณ์ดังกล่าวจึงเป็นไฟต์บังคับที่ทำให้นักเล่นต้องเลือกยุทธวิธีจะเล่น “สั้น” หรือ “ยาว” เพราะสไตล์การขึ้นของหุ้นแตกต่างกันชัดเจน “โมนิก้า” ถึงอยากให้แฟนคลับลองมองตามว่า ดัชนีขึ้นมาปิดที่ระดับ 1,667.92 บาท บวกไป 23.56 จุด ด้วยมูลค่าการซื้อขาย 7.81 หมื่นล้านบาท คือการป้วนเปี้ยนบริเวณแนวรับ 1,650 จุดเป็นเวลาทั้งหมด 4 วัน จึงอาจตีความได้ว่า กำลังมีคนแอบเก็บหุ้นเมื่อย่อตัวลงมานะจะบอกให้
*โดยเฉพาะในรายของแบงก์สีเขียว KBANK พุ่งขึ้นมาปิดที่ระดับ 162.50 บาท บวกไป 4 บาท หรือขึ้นไป 2.50% ด้วยมูลค่าการซื้อขาย 4.83 พันล้านบาทอย่างรวดเร็ว ทั้งที่ก่อนหน้านี้ยังโดนขายหนักร่วมครึ่งเดือน แต่วันนี้กลับแสดงพลังด้วยการแกว่งตัวขึ้น “โมนิก้า” จึงมองสถานการณ์ที่เกิดขึ้นเที่ยวนี้เป็นอื่นไม่ได้จริง ๆ นอกจากคำว่า “เก็บรอบใหม่” เพราะเป็นหุ้นที่นักลงทุนสถาบันชื่นชอบมากสุดในปีนี้เจ้าค่ะ
*ส่วนรายที่กลับมาติดในชาร์ตฮอตฮิตรอบใหม่อย่าง KCE ก็เป็นหุ้นที่น่าตามไปดูอีกเช่นกัน เพราะการร่วงหล่นจากระดับราคา 93 บาท จนลงไปทำราคาต่ำสุดที่บริเวณ 54 บาท ก่อนจะมีการตีกลับขึ้นมาเรื่อย ๆ มันคือภาพของการจบขาลง อย่างชัดเจน และการขึ้นมาปิดที่ระดับ 63 บาท บวกไป 5.50 บาท หรือขึ้นไป 9.60% ด้วยมูลค่าการซื้อขาย 2.42 พันล้านบาท น่าจะเป็นการบอกให้รู้ว่า ภาพของการขึ้นรอบใหม่ได้ปรากฏแล้วจ้า!
*สำหรับรายที่ยังต้องพิสูจน์ต่อไปว่า ขึ้นจริงหรือเปล่า? เดี๊ยนคงมองไปที่หุ้นเครื่องดื่มชูกำลังอย่าง CBG แบบไม่ลังเลใจ เพราะสองครั้งก่อนก็มีขึ้นมาแตะ 109 บาท ต่อจากนั้นก็รูดลงไปต่ำ 100 บาท “โมนิก้า” ถึงมองการขึ้นมาปิดที่ระดับ 107 บาท บวกไป 2 บาท หรือขึ้นไป 1.90% ด้วยมูลค่าการซื้อขาย 712 ล้านบาทเป็นรอบที่ 3 น่าจะเป็นการขึ้นที่แตกต่างจากครั้งก่อนก็เท่านั้นเองค่ะ
*ในเมื่อมาแนวลุ้นฟื้นตัวกันทั้งที “โมนิก้า” ย่อมมองไปที่หุ้น RBF เพื่อบอกเล่าเหตุผลที่จะทำให้กำไรปีนี้โตกว่าปีก่อน ล้วนมาจากการตัดขายโรงแรมออกไปเมื่อปีก่อน และในแต่ละปีต้องแบกผลขาดทุนสูงถึง 80 ล้านบาท เดี๊ยนถึงมองว่า การยืนปิดที่ระดับ 16.30 บาท บวกไป 0.80 บาท หรือขึ้นไป 5.15% ด้วยมูลค่าการซื้อขาย 183 ล้านบาท น่าจะเป็นจุดที่เล่นได้สบาย ๆ เพราะหุ้นเพิ่งขยับออกจากโลว์ 14.70 บาทได้แค่สัปดาห์เดียวเองค่ะ
*ส่วนคนที่ชอบตามน้ำแบบเสียว ๆ มัน ๆ “โมนิก้า” คงมองไปที่หุ้น BKD เพื่อชี้ให้เห็นการพุ่งขึ้นแรง จนขึ้นมาปิดที่ระดับ 3 บาท บวกไป 0.68 บาท หรือขึ้น 30% ด้วยมูลค่าการซื้อขาย 143 ล้านบาท มันทำให้เชื่อว่า หุ้นมีโอกาสไปต่อค่อนข้างสูง ผนวกกับการฟื้นตัวของธุรกิจที่ชัดเจน และมีการตุนแบ็กล็อกในมือสูงถึง 1.50 พันล้านบาท จึงกลายเป็นช็อตที่ขาลุยไม่ควรพลาดนะตัวเอง
*สำหรับคนที่เน้นสายเฮลท์ตี้เป็นหลัก ต้องไม่พลาดดูหุ้นตัวท็อปอย่าง HL เพราะเป็นหุ้นที่การขยายสาขางทุกปี จึงส่งผลให้กำไรโตขึ้นทุกปีเช่นกัน และการที่หุ้นวิ่งขึ้นมาปิดที่ระดับ 22.50 บาท บวกไป 1 บาท หรือขึ้นไป 4.65% ด้วยมูลค่าการซื้อขาย 122 ล้านบาท พร้อมกับทำ all time high แบบนี้ “โมนิก้า” กล้าพูดได้ทันทีว่า เกมหุ้นไม่จบลงแค่นี้อย่างแน่นอน เพราะในช่วงปลายปี 65 หุ้นจะมีแวลูเพิ่มขึ้นอย่างมีนัยสำคัญนะจ๊ะ