ภาษีสรรพสามิตมือถือขี่พายุ ทะลุฟ้า

ยังจำกันได้ไหมเอ่ย เรื่องการจัดเก็บภาษีสรรพสามิตโทรคมนาคม ที่จัดเก็บจากโทรศัพท์มือถือในอัตรา 10% และโทรศัพท์พื้นฐานหรือโทรศัพท์บ้านในอัตรา 2%


ยังจำกันได้ไหมเอ่ย เรื่องการจัดเก็บภาษีสรรพสามิตโทรคมนาคม ที่จัดเก็บจากโทรศัพท์มือถือในอัตรา 10% และโทรศัพท์พื้นฐานหรือโทรศัพท์บ้านในอัตรา 2%

บังคับใช้อยู่ในช่วงก.พ. 46-ส.ค. 49 ก็ในช่วงทักษิณเป็นนายกรัฐมนตรีนั่นแหละ โดยผู้จ่ายภาษีคือเจ้าของสัมปทานทั้งองค์การโทรศัพท์และแคท เทเลคอม

นัยสำคัญก็เพื่อเป็นการเตรียมการก่อนเข้าสู่ยุคเสรีโทรคมนาคม รัฐจะได้มีรายได้เข้ารัฐ ซึ่งตอนนั้น ระบบสัมปทาน เสือนอนกิน สูญสลายไปหมดแล้ว

แต่คตส. หน่วยงานพิเศษตั้งขึ้นมาภายหลังการรัฐประหารของบิ๊กบัง ท่านไม่ได้มองเช่นนั้นสิ

 คตส.ชี้มูลความผิดว่า เป็นการกีดกันผู้ประกอบการรายใหม่ในธุรกิจโทรคมนาคม และเป็นการเอื้อประโยชน์ให้ธุรกิจของทักษิณ

เป็นมูลคดีมูลหนึ่งในการฟ้องร้องยึดทรัพย์ทักษิณในศาลฎีกาแผนกคดีอาญานักการเมือง และทักษิณก็โดนยึดทรัพย์ไปจริงๆ กว่า 4 หมื่นล้านบาท

เรื่องเดียวกัน ประเด็นเดียวกัน ที่ทักษิณโดนพิพากษาความผิดและถูกยึดทรัพย์นั่นแหละ กำลังจะมีการปัดฝุ่นขึ้นมาใช้กันอีกแล้ว

ในยุคสมัยรัฐบาลประยุทธ์ ที่มีมิติมุมมองนโยบายประชานิยมเป็นอาชญากรรม

 ผมอ่านข่าวนี้จากหน้าเศรษฐกิจ น.ส.พ.ไทยรัฐ แล้วก็ยังขำๆ แบบขื่นๆ

ไอซีทีปิ๊งไอเดียหาเงินเข้ารัฐ ถกสรรพสามิตทบทวนจัดเก็บภาษีมือถือชดเชยรายได้สัมปทาน

 เป็นพาดหัวข่าว ที่กระชับใจความได้ครอบคลุมจริงๆ ผมอ่านเนื้อข่าวแล้ว แทบไม่เชื่อเหมือนกันว่า จะเป็นภาษีโทรคมนาคมตัวเดียวกับสมัยทักษิณ ที่เป็นสาเหตุหนึ่งในการยึดทรัพย์ไปแล้ว

ต้องลงทุนอ่านข่าวนี้ถึง 2 รอบแน่ะ

ตามข่าวก็มีว่า กรมสรรพสามิตได้หารือกับกระทรวงไอซีที เพื่อทบทวนการจัดเก็บภาษีสรรพสามิตโทรคมนาคมขึ้นมาใหม่ ตามบัญชาของนายกรัฐมนตรี พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา เพื่อหาแนวทางจัดเก็บรายได้เพิ่มเติม

กฎหมายฉบับนี้ ซึ่งก็คือ พ.ร.ก.แปลงส่วนแบ่งรายได้เป็นภาษีสรรพสามิตฯ ยังไม่ได้ถูกยกเลิกนะครับ เพียงแต่ในสมัยรัฐบาลพล.อ.สุรยุทธ์ มีมติครม.ให้ยกเว้นการจัดเก็บภาษีฯ จากส่วนแบ่งรายได้สัมปทาน

แต่ในอนาคต เมื่อสิ้นสุดระบบสัมปทานแล้ว รัฐบาลพล.อ.ประยุทธ์อาจมีความจำเป็นต้องหันมาจัดเก็บภาษีดังกล่าวอีกครั้งในอัตราที่เหมาะสม

มันก็เป็นเช่นนั้นแหละครับ ที่ผมบอกว่าขำๆ แบบขื่นๆ ซึ่งไม่รู้จะหาคำบรรยายได้เหมาะเหม็งอย่างไร แต่คนที่เคยเกิด ”ฟีล” อย่างนี้ ผมว่าคงเข้าใจ

มันคือเรื่องเดียวกัน แต่ความต่างอยู่ที่ว่าใครทำ ถ้าไม่ใช่คนที่ใช่ ก็อาจถึงตายหรือถูกยึดทรัพย์เชียวนะ

Back to top button