MTC มั่นใจปี 65 พอร์ตสินเชื่อโต 30% ลุยผุดสาขาใหม่ทั้งปีแตะ 6,500 สาขา

MTC มั่นใจปี 65 พอร์ตสินเชื่อโต 30% ลุยผุดสาขาใหม่ทั้งปีแตะ 6,500 สาขา วางเป้าช่วยเหลือลูกค้าแตะ 3.5 ล้านคน จากเศรษฐกิจยังไม่ฟื้นตัว พร้อมยันไม่กระทบกรณี "แบงก์ชาติ" ออกเกณฑ์คุมเข้มคิดดอกเบี้ย-เบี้ยปรับ


นายชูชาติ เพ็ชรอำไพ ประธานกรรมการบริหาร บริษัท เมืองไทย แคปปิตอล จำกัด (มหาชน) หรือ MTC ผู้นำสินเชื่อจำนำทะเบียนรถจักรยานยนต์และนาโนไฟแนนซ์ของเมืองไทย ระบุว่าจากสภาพเศรษฐกิจภายในประเทศยังอยู่ในภาวะซบเซาและการท่องเที่ยวยังไม่ฟื้นตัว จึงทำให้รายได้ของคนไทยลดน้อยลงในขณะที่รายจ่ายและค่าครองชีพสูงขึ้น จึงทำให้ประชาชนมีความต้องการสินเชื่อเพิ่มขึ้น ซึ่งในส่วนของ MTC พร้อมที่จะยืนเคียงข้างคนไทยทุกคน และยินดีที่จะสนับสนุนสินเชื่อสำหรับประชาชนที่ต้องการทุกราย เพื่อให้นำเงินไปสร้างอาชีพและสร้างรายได้

ทั้งนี้ MTC ในฐานะเป็นผู้นำตลาดในธุรกิจนี้ ตั้งเป้าช่วยเหลือลูกค้าเพิ่มขึ้นจาก 2.5 ล้านคน เป็น 3.5 ล้านคน โดยมีกลุ่มลูกค้าเป้าหมายได้แก่ เกษตรกร,ค้าขาย และกลุ่มคนทำงานโรงงานอุตสาหกรรม ในปี 2565 นี้ บริษัทฯ ได้วางแผนเปิดสาขาไว้จำนวน 700 สาขา เมื่อรวมกับสาขาเดิมที่มีอยู่จะทำให้ภายในสิ้นปี 2565 จะมีจำนวนสาขาทั้งสิ้น 6,500 สาขา ซึ่งถือว่าเป็นบริษัทที่มีจำนวนสาขาและลูกค้ามากที่สุดในประเทศไทย เพื่อให้สามารถบริการแก่ผู้ที่ต้องการขอสินเชื่อได้อย่างทั่วถึงและกระจายในวงกว้างมากยิ่งขึ้นกว่าเดิม จึงมั่นใจว่าปีนี้พอร์ตสินเชื่อจะมีการเติบโตประมาณ 30% เมื่อเปรียบเทียบกับปีที่ผ่านมา

ประธานกรรมการบริหาร MTC กล่าวต่อถึงการประกาศของธนาคารแห่งประเทศไทย (ธปท.) เรื่องหลักเกณฑ์คิด ดอกเบี้ย , ค่าบริการ , เบี้ยปรับ ที่เหมาะสม และเป็นธรรมแก่ผู้ใช้บริการ โดยมีผลใช้วันที่ 1 เมษายน 2565  ว่า ทาง MTC ไม่มีความกังวลต่อประกาศดังกล่าวแต่ประการใด เพราะที่ผ่านมาบริษัทฯ ปฏิบัติต่อลูกค้าอย่างเป็นธรรม และเหมาะสมอยู่แล้ว โดยไม่เอาเปรียบ และไม่เรียกเก็บซ้ำซ้อน รวมทั้งไม่มีการนำค่าใช้จ่าย หรือค่าประกันมารวมกับจำนวนหนี้ และคิดดอกเบี้ยอีก แต่บริษัทได้เปิดเผยข้อมูลดอกเบี้ย ค่าบริการ และเบี้ยปรับ อย่างชัดเจน โปร่งใส ให้ลูกค้ารับทราบอยู่แล้ว

ส่วนความกังวลเรื่องหนี้เสียหรือ NPL ที่อาจจะเพิ่มขึ้นนั้น นายชูชาติกล่าวว่า เรื่องดังกล่าวไม่น่าเป็นห่วง เพราะกลุ่มลูกค้าของบริษัทฯประมาน 70% เป็นลูกค้ากลุ่มเกษตรกร ซึ่งที่ผ่านมาปริมานผลผลิตและราคา ไม่ว่าจะเป็นข้าว ยางพารา มันสำปะหลัง อ้อย อยู่ในระดับที่ดี โดยเกษตรกรสามารถนำเงินที่เหลือจากการใช้จ่ายมาชำระหนี้ได้ตามปกติ ประกอบกับปีนี้ประเทศไทยไม่มีปัญหาเรื่องภัยแล้ง อันเนื่องมาจากน้ำในเขื่อนที่สะสมไว้มีปริมานน้ำที่มากกว่าทุกปี ดังนั้นกลุ่มเกษตรกรที่ทำนาตามลุ่มน้ำต่าง ๆ สามารถทำการเกษตรได้ตลอดทั้งปี บริษัทจึงไม่กังวลต่อปัญหาความสามารถในการชำระหนี้ หรือ NLP   ของกลุ่มเกษตรแต่ประการใด

Back to top button