PTTEP บวก 2% โบรกอัพเป้า 168 บ. อานิสงส์ “น้ำมัน” ยืนสูง หนุนผลงานโตแกร่ง
PTTEP วิ่งกว่า 2% โบรกเชียร์ “ซื้อ” ราคาเป้าหมาย 168 บ. รับอานิสงส์ราคาน้ำมันดิบยืนตัวสูง พร้อมมองกำไรสุทธิไตรมาส 2/65 และครึ่งหลังปี 65 จะปรับเพิ่มทั้งจากไตรมาสก่อนและปีก่อน
ผู้สื่อข่าวรายงานว่า ราคาหุ้น บริษัท ปตท. สำรวจและผลิตปิโตรเลียม จำกัด (มหาชน) หรือ PTTEP ณ เวลา 10:12 น. อยู่ที่ระดับ 148.50 บาท บวก 3 บาท หรือ 2.06% สูงสุดที่ระดับ 150 บาท ต่ำสุดที่ระดับ 147 บาท ด้วยมูลค่าการซื้อขาย 1.03 พันล้านบาท
บริษัทหลักทรัพย์ คิงส์ฟอร์ด จำกัด (มหาชน) แนะนำ “ซื้อเก็งกำไร” ประเมินราคาเหมาะสมที่ 156.00 บาท โดนราคาหุ้นปรับตัวขึ้นสะท้อนราคาน้ำมันในช่วงที่สถานการณ์รัสเซีย-ยูเครนตึงเครียดถึงขีดสุดแล้ว ดังนั้นจึงแนะนำเพียง “ซื้อเก็งกำไร” ตามสถานการณ์ราคาน้ำมันหรือรอจังหวะย่อตัวเพื่อกลับเข้าไปลงทุนรอบใหม่
ด้าน บล.เอเชียเวลท์ ระบุในบทวิเคราะห์ แนะนำ “ซื้อ” PTTEP โดยปรับเพิ่มราคาเป้าหมายเป็น 168 บาท จากเดิม 140 บาท เพื่อสะท้อนการปรับประมาณการราคาน้ำมันดิบ และประมาณการผลประกอบการ โดย Momentum เชิงบวกจากราคาน้ำมันดิบที่ยังคงยืนในระดับสูงต่อเนื่องในเดือน เม.ย. และการคาดหมายกำไรสุทธิไตรมาส 2/65 และครึ่งหลังปี 65 ที่ปรับเพิ่มทั้งจากไตรมาสก่อน และปีก่อน ขณะที่ระยะยาวยังมีปัจจัยหนุนการเติบโตของผลประกอบการจากการทยอยเริ่มดำเนินงานของแหล่งผลิตปิโตรเลียมใหม่ ระหว่างปี 66-69
ทั้งนี้ ราคาน้ำมันดิบปรับเพิ่ม โดยราคาน้ำมันดิบดูไบเฉลี่ย ไตรมาส 1/65 อยู่ที่ 95.6 เหรียญต่อบาร์เรล เพิ่มขึ้น 22% จากไตรมาสก่อน และเพิ่มขึ้น 59% จากปีก่อน ทำให้คาดว่า PTTEP จะมี ASP ไม่น้อยกว่า 50.8 เหรียญต่อบาร์เรล เพิ่มขึ้น 8.4% จากไตรมาสก่อน และเพิ่มขึ้น 26% จากปีก่อน และยอดขายปิโตรเลียมเฉลี่ยต่อวันอยู่ที่ 4.26 แสนบาร์เรลต่อวัน เพิ่มขึ้น 1.2% จากไตรมาสก่อน และเพิ่มขึ้น 11% จากปีก่อน ต่ำกว่า Guidance ที่บริษัทให้ไว้ก่อนหน้านี้เล็กน้อย ส่วนหนึ่งเป็นผลมาจากยอดขายจากแหล่งในประเทศที่ลดลง
ขณะที่แนวโน้มกำไรสุทธิของ PTTEP ในช่วงที่เหลือของปี 65 จะสวนทางกับทิศทางของราคาน้ำมันดิบ หลังสถานการณ์รัสเซีย-ยูเครน คลี่คลาย และอุปทานที่เพิ่มขึ้น จะกดดันให้ราคาน้ำมันดิบปรับลดลงจากค่าเฉลี่ยในไตรมาส 1/65 ซึ่งจะทำให้การรับรู้ผลจากการทา Hedging มีผลขาดทุนที่ลดลง หรือพลิกกลับมาเป็นกำไร โดยเฉพาะในช่วงไตรมาส 2/65 โดยปัจจุบันบริษัทเหลือสัญญา Hedging จำนวน 11.55 ล้านบาร์เรล โดย ณ สิ้นไตรมาส 1/65 มีการ Mark-to-Market ไว้ที่ 98-100 เหรียญต่อบาร์เรล
รวมไปถึงราคาขายก๊าซฯ ในช่วงที่เหลือของปี 65 ที่ปรับเพิ่มขึ้น จากผลของราคาน้ำมันดิบที่ปรับเพิ่ม (มี Lag-time ประมาณ 6-18 เดือน) และการเพิ่มขึ้นทั้งจากไตรมาสก่อนและปีก่อนของยอดขายปิโตรเลียมในทุกไตรมาสที่เหลือของปี 65 (คาดยอดขายเฉลี่ยต่อวันในปี 65 อยู่ที่ 467,000 บาร์เรลต่อวัน) การปรับสมมติฐานราคาน้ำมันดิบ ทำให้ประมาณการกำไรสุทธิปี 65 เพิ่มขึ้นเป็น 6.47 หมื่นล้านบาท เพิ่มขึ้น 66% จากปีก่อน ซึ่งหากกำไรสุทธิ Q1/65 เป็นไปตามที่เราคาดจะคิดเป็น 15% ของประมาณการ
พร้อมคาดว่าบริษัทจะรายงานกำไรสุทธิไตรมาส 1/65 อยู่ที่ 9.8 พันล้านบาท ลดลง 8% จากไตรมาสก่อน และลดลง 15% จากปีก่อน ส่วนหนึ่งเป็นผลจากการรับรู้ผลขาดทุนจากการทำสัญญาป้องกันความเสี่ยงจากความผันผวนของราคาน้ำมัน (Hedging Loss) มากถึง 8 พันล้านบาท ซึ่งหากไม่รวมรายการดังกล่าว บริษัทจะมีกำไรปกติอยู่ที่ 1.77 หมื่นล้านบาท เพิ่มขึ้นทั้งจากไตรมาสก่อนและปีก่อน โดยปัจจัยบวกหนุนกำไรปกติมาจาก (1) ราคาขายเฉลี่ย (ASP) ที่ปรับเพิ่ม โดยเราคาดว่าบริษัทจะมีราคาขายก๊าซฯ ไม่น้อยกว่า 6.1 เหรียญต่อ MMBTU เพิ่มขึ้น 5.0% จากไตรมาสก่อน และเพิ่มขึ้น 8.3% จากปีก่อน