10 ข้อดี “TRUE ควบ DTAC”  มีแต่วิน! ลูกค้ายุคดิจิทัลไม่สะดุด

ดีล 10 ข้อดี หลังทรูควบรวมดีแทค สนับสนุนผู้บริโภคและคนไทย เตรียมรุกปรับโครงสร้างสู่ดิจิทัล รองรับเทคโนโลยีใหม่ ทำให้ลูกค้าได้รับบริการดิจิทัลมากขึ้น


แหล่งข่าวจากวงการโทรคมนาคมไทย เปิดเผยว่า อุตสาหกรรมโทรคมนาคมไทยตลอดช่วง 2 ปีที่ผ่านมา เกิดการปรับตัวของผู้ประกอบการในอุตสาหกรรมโทรคมนาคมมาโดยตลอด เช่นช่วงวันที่ 7 มกราคม 2564 ทางองค์การโทรศัพท์ บริษัท ทีโอที จำกัด (มหาชน) หรือ TOT มีการควบรวมกับ การสื่อสารแห่งประเทศไทย บริษัท กสท โทรคมนาคม จำกัด (มหาชน) หรือ CAT กลายเป็นบริษัท โทรคมนาคมแห่งชาติ จำกัด หรือ NT ซึ่งทำให้มีโครงสร้างพื้นฐานครบวงจรมากยิ่งขึ้น มีมูลค่าสินทรัพย์มากถึง 300,000 ล้านบาท  ครอบคลุมเสาโทรคมนาคมกว่า 25,000 ต้น ทั่วประเทศ และเคเบิ้ลใต้น้ำระหว่างประเทศเชื่อมต่อไปยังทุกทวีป ถือครองคลื่นความถี่หลัก

โดยเพื่อให้บริการรวม 6 ย่านมีปริมาณ 600 เมกะเฮิรตซ์ ท่อร้อยสายใต้ดินมีระยะทางรวม 4,600 กิโลเมตร สายเคเบิ้ลใยแก้วนำแสง 4 ล้านคอร์กิโลเมตร Data Center 13 แห่งทั่วประเทศ และ ระบบโทรศัพท์ระหว่างประเทศที่เข้าถึงจากทุกประเทศในโลก ทั้งนี้ก็เป็นการปรับตัวเพื่อการแข่งขัน ซึ่งได้ควบรวมเสร็จสิ้นไปได้ด้วยดี

ต่อมาในวันที่ 6 สิงหาคม 2564 กลุ่มเอไอเอส (AIS) ก็ได้มีการปรับโครงสร้างผู้ถือหุ้น จับมือกับพันธมิตร อย่าง บริษัท กัลฟ์ เอ็นเนอร์จี ดีเวลลอปเมนท์ จำกัด (มหาชน) หรือ GULF ใช้เงินราว 4.86 หมื่นล้านบาท เข้าซื้อหุ้น บริษัท อินทัช โฮลดิ้งส์ จำกัด (มหาชน) หรือ INTUCH ในสัดส่วน 42.25% จนขึ้นแท่นเป็นผู้ถือหุ้นใหญ่อันดับหนึ่ง และทำให้มีสิทธิเข้าไปบริหารใน บริษัท แอดวานซ์ อินโฟร์ เซอร์วิส จำกัด (มหาชน) หรือ ADVANC เพิ่มศักยภาพให้กลุ่ม AIS และ GULF ต่อยอดธุรกิจด้านพลังงานและโทรคมนาคม

ล่าสุดถึงกรณีการควบรวม บริษัท ทรู คอร์ปอเรชั่น จำกัด (มหาชน) หรือ TRUE กับ บริษัท โทเทิ่ล แอ็คเซ็ส คอมมูนิเคชั่น จำกัด (มหาชน) หรือ DTAC เป็นการร่วมธุรกิจแบบเท่าเทียมกัน เดินหน้าสู่การปรับโครงสร้างการดำเนินธุรกิจ เหมือนผู้ประกอบการรายอื่นๆ เพื่อรองรับการแข่งขันในธุรกิจโทรคมนาคมตามการแข่งขันอย่างหนักหน่วงมาอย่างต่อเนื่อง และการขยายโครงข่าย รวมถึงลงทุนเรื่องเทคโนโลยี และบริการต่างๆ

ดังนั้นเมื่อ TRUE กับ DTAC ร่วมมือกันก็จะทำให้เงินลงทุนย่อมมากขึ้นอย่างมีประสิทธิภาพ สร้างประโยชน์ให้กับผู้บริโภคด้วยบริการที่ดีขึ้น

อย่างโครงการขยายโครงข่าย 5G ที่ TRUE มีแผนลงทุนโครงข่ายเมื่อ พ.ศ. 2563-2565 กว่า 40,000-60,000 ล้านบาท ส่วน DTAC ในช่วงพ.ศ. 2563 ลงทุน 8,000-10,000 ล้านบาท แต่เม็ดเงินเหล่านี้ไม่รวมค่าใบอนุญาตคลื่นความถี่หลายหมื่นล้านบาท ซึ่งการควบรวมจะทำให้การลงทุนต่อเนื่อง ลูกค้าได้รับบริการที่ดีขึ้น

ดังนั้นทาง TRUE และ DTAC ต้องลงทุนเพิ่มในการนำเสนอบริการดิจิทัล และปรับองค์กรสู่การเป็นเทคโนโลยี สามารถสรุปประโยชน์ที่ผู้บริโภคจะได้รับได้แก่

1.การเข้าถึงสัญญาณเครือข่ายดีขึ้น เสาสัญญาณเพิ่มมากขึ้น สัญญาเร็ว แรง และครอบคลุมพื้นที่ใช้งานมากขึ้น เมื่อรวมจำนวนเสาสัญญาณของทรูและดีแทคแล้ว คาดว่าจะมีมากกว่า 49,800 สถานีฐาน ทำให้ไม่ว่าลูกค้าจะอยู่พื้นที่ไหนในประเทศไทยก็สามารถใช้บริการได้อย่างครอบคลุม ลูกค้าดีแทคก็จะได้ใช้สัญญาณ 5G ของทรู ได้อีกด้วย

2.คลื่นที่ครบถ้วนในทุกย่านความถี่ ทำให้ลูกค้าสามารถใช้มือถือได้ทุกรุ่น รองรับทุกย่านความถี่ เริ่มตั้งแต่คลื่น 700 MHz มีทั้ง 2 ค่าย คลื่น 850 MHz ดีแทคสามารถใช้ของทรูได้ คลื่น 900, 1800, 2100 MHz มีทั้ง 2 ค่าย และลูกค้าทรูก็สามารถใช้คลื่นที่ทรูไม่มี เช่น คลื่น 2300 MHz ในขณะที่ดีแทคสามารถมาใช้คลื่น 2600 MHz 5G ของทรูได้ ดังนั้นลูกค้าจะได้ประโยชน์อย่างมากจากจำนวนคลื่นและแบนด์วิธที่มากขึ้น ทำให้ลูกค้าสามารถโทรโดยใช้มือถือได้ทุกรุ่น รองรับได้ทุกย่านความถี่

3.เพิ่มความสะดวกมากขึ้น โดยมีศูนย์ให้บริษัทหลังการควบรวมเพิ่มมากขึ้น ทำให้บริการหลังการขายสามารถเข้าถึงลูกค้าได้มากขึ้น จำนวนร้าน สาขา ของทรู และ ดีแทค ทั่วประเทศ จะให้บริการลูกค้าได้อย่างไร้รอยต่อ และ นำมาต่อยอดบริการรูปแบบใหม่ ให้ลูกค้ามีความสะดวก และมี call center รวมสองค่ายมากกว่า 5,200 คน พร้อมให้บริการ 24 ชั่วโมง

4.ลูกค้าทั้ง 2 ค่ายจะได้มีโอกาสแลกเปลี่ยนประสบการณ์ที่ดีและสิทธิพิเศษที่เพิ่มมากขึ้น อาทิเช่น ลูกค้าดีแทคสามารถใช้บริการห้องรับรอง VIP (True Sphere) และสิทธิประโยชน์จาก True Point ได้ ในขณะที่ลูกค้าทั้งทรูและดีแทค ได้รับสิทธิ์ทั้ง dtac reward และ True Privilege และที่ยอดเยี่ยมสำหรับลูกค้าดีแทค คือ สามารถใช้บริการ convergence อินเทอร์เน็ตบ้าน และ content ดี ๆ จาก TrueID และ TrueVisions

5.เมื่อทรูควบรวมกับดีแทค จะทำให้ขีดความสามารถในการแข่งขันใกล้เคียงกันกับเอไอเอส เมื่อผู้แข่งขันสองรายมีขีดความสามารถใกล้เคียงกัน จะทำให้เกิดการแข่งขันกันมากขึ้น ทำให้ลูกค้าได้โปรโมชั่นที่ถูกลง และมีข้อเสนอทางการตลาดที่ลูกค้าได้ประโยชน์มากยิ่งขึ้น

6.ลูกค้าไร้กังวลว่าหลังการควบรวมแล้วราคาจะสูงขึ้น แพคเกจที่ใช้อยู่สามารถใช้บริการได้อย่างต่อเนื่อง เพราะต้องอยู่ภายใต้การกำกับดูแลของ กสทช. อย่างเข้มงวดอยู่แล้ว และที่ผ่านมา กสทช. ก็ทำได้ดี ทำให้ไม่มีผู้เล่นรายใด สามารถปรับราคาได้เกินกว่าที่ กสทช. กำหนดไว้ และทำให้ประเทศไทยเป็นหนึ่งในประเทศที่มีอัตราค่าบริการต่ำสุดในโลก

7.การบริการต้นทุนของผู้ให้บริการหลังการควบรวมจะลดลง ทำให้ลูกค้าได้รับประโยขน์จากความคุ้มค่าของบริการที่ได้รับ จะทำให้มีเงินทุนไปพัฒนาบริการใหม่ รองรับเทคโนโลยีใหม่ ๆ ที่กำลังจะเข้ามาเช่น ดาวเทียม, Metaverse, Quantum รวมถึงรถยนต์ EV และ Smart City

8.ผู้เล่นในอุตสาหกรรมโทรคมนาคมทุกรายปรับโครงสร้างเพื่อรองรับการลงทุนใหม่ เช่น CAT+ TOT = NT และการที่ AIS มีการปรับโครงสร้างผู้ถือหุ้น โดยมีการลงทุนใหม่โดย GULF เพื่อเพิ่มขีดความสามารถในการแข่งขัน และ ลงทุนเพิ่มในอนาคต ทำให้หลังการควบรวม TRUE และ DTAC ทำให้ผู้ประกอบการทุกรายมีความพร้อมในการแข่งขัน และ รัฐมีการปฏิบัติต่อผู้ประกอบการอย่างเท่าเทียม มิใช่กีดกันรายใดรายหนึ่ง

9.ผู้บริโภคสามารถใช้บริการของผู้ประกอบการดิจิทัลอย่างไม่สะดุด เช่น Facebook, Line, Netflix และอื่นๆ ที่เข้ามาทำธุรกิจในประเทศไทย โดยใช้เครือข่ายโทรคมนาคมเดิม ซึ่งต้องใช้ดาต้า เพิ่มขึ้นมหาศาล โดยผู้ใช้งานอินเทอร์เน็ตใช้งานดาต้าเพิ่มขึ้นหลายเท่าทุกปี เพื่อให้บริการจากผู้เล่นดิจิทัลมีความต่อเนื่อง การควบรวมจะทำให้เกิดความแข็งแกร่งในการพัฒนาคุณภาพเครือข่าย รองรับการเติบโตของผู้ใช้ข้อมูลที่เพิ่มขึ้น

10.หลังการควบรวม ผู้เล่นทุกรายในอุตสาหกรรมโทรคมนาคมไทย พร้อมปรับตัวเข้าสู่การเป็นบริษัทเทคโนโลยี และเพิ่มขีดความสามารถที่จะแข่งกับผู้ประกอบการระดับโลก และสนับสนุนการลงทุนของ Tech Startup รุ่นใหม่ บริษัทจะมีความสามารถในการลงทุนเพิ่ม รองรับเทคโนโลยีใหม่ ทำให้ลูกค้าได้รับบริการดิจิทัลมากขึ้น เช่น บริการแพทย์ทางไกล การประชุมทางไกล การเข้าถึงคอนเทนต์ เพลง หนัง ระดับโลก ในราคาลดลง

Back to top button