“เคทีบีเอสที” คัด 20 หุ้นได้-เสียประโยชน์! บาทอ่อนในรอบ 5 ปี
“บล.เคทีบีเอสที” คัด 20 หุ้นได้-เสียประโยชน์ บาทอ่อนในรอบ 5 ปี ชูเน้นลงทุนกลุ่ม “อิเลกฯ-อาหาร-เกษตร” รับอานิสงส์เต็ม และเลี่ยง “สายการบิน-พลังงาน”
บริษัทหลักทรัพย์ เคทีบีเอสที จำกัด (มหาชน) หรือ KTBST ระบุในบทวิเคราะห์(25 เม.ย.65) ว่า ทิศทางค่าเงินบาทปัจจุบัน(25 เม.ย.65) แตะระดับที่ 34.00 บาทต่อเหรียญ กลับมาอ่อนค่าราว 6% จากที่มีการแข็งค่ามากสุดในช่วงกลางเดือน ก.พ.2565 ที่ราว 32.15 บาทต่อเหรียญ นับเป็นค่าเงินบาทที่อ่อนค่าที่สุดในรอบ 5 ปี ตั้งแต่ช่วง เม.ย. 2560 จากแนวโน้มการขึ้นดอกเบี้ยของธนาคารกลางสหรัฐฯที่มีแนวโน้มเร็วและรุนแรงกว่าคาดจากภาวะเงินเฟ้อในระดับสูงของสหรัฐ และมาตรการ quantitative tightening (QT) รวมถึงในช่วงระยะสั้นที่ผ่านมามีการไหลออกของ fund flow จากเข้าสู่ช่วงการจ่ายปันผลของบริษัทในตลาดหุ้นไทย
โดยมุมองของ KTBST มองว่าแนวโน้มระยะสั้นค่าเงินบาทมีโอกาสอ่อนค่าต่อเนื่องไปแตะระดับ 34.46 บาทต่อเหรียญ ก่อนการประชุม FOMC ในวันที่ 4 พ.ค. 2565 แต่มองว่าถ้าหลังจากการประชุม FOMC แล้ว US 10Y bond yield ทำจุดสูงสุดแล้วเริ่มปรับตัวลง เงินบาทจะเริ่มกลับมาแข็งค่าอีกครั้ง
อย่างไรก็ตามหาก US 10Y bond yield ยังปรับตัวเพิ่มขึ้นต่อเนื่อง และระดับดอกเบี้ยสหรัฐฯ ณ สิ้นปีอยู่ที่ 3% คาดว่า US 10Y bond yield จะไปแตะระดับ 3.57%-4.00% ซึ่งทำให้ให้ค่าเงินมีโอกาสไปแตะระดับต่อ 35.82 บาทต่อเหรียญ
ดังนั้นจึงแนะนำเข้า “ซื้อเก็งกำไร” จากหุ้นที่ได้ประโยชน์จากปัจจัยดังกล่าวและมีปัจจัยบวกเฉพาะตัว คาดว่าจะส่งผลกระทบต่อหุ้น/อุตสาหกรรมที่เราจัดทำบทวิเคราะห์ ดังนี้
โดยหุ้นที่น่าสนใจจากค่าเงินบาทที่อ่อนค่า:ชอบหุ้นมีแนมโน้มผลการดำเนินงานเติบโตดี จากปัจจัยเฉพาะตัว และมี upside จากค่าเงินบาทอ่อนค่า รวมถึงราคาหุ้นยังมี upside เรียงตามระดับความสัมพันธ์กับค่าเงินบาทอ่อนค่า (correlation > 0) โดยหุ้นที่เราแนะนำคือ 1.บริษัท เอเชี่ยนซี คอร์ปอเรชั่น จำกัด (มหาชน) หรือ ASIAN (ซื้อ/เป้ า 21.00 บาท) : มีรายได้จากการส่งออก 80% และแนวโน้มกำไรสุทธิในช่วงไตรมาส 1/2565 ยังเติบโตดีเทียบช่วงเดียวกันของปีก่อน
2.บริษัท ซันสวีท จำกัด (มหาชน) หรือ SUN (ซื้อ/เป้ า 10.70 บาท) : มีรายได้จากการส่งออกที่ 82% ของรายได้รวม และ 3.บริษัท สหมิตรถังแก๊ส จำกัด (มหาชน) หรือ SMPC (ซื้อ/เป้ า 12.00 บาท) : กำไรสุทธิไตรมาส 1/2565 จะเติบโตเทียบช่วงเดียวกันของปีก่อนได้ดี ตามทิศทางยอดส่งออกถังแก๊สของไทยเดือน ม.ค.-ก.พ.65 ที่เติบโต 50% เทียบช่วงเดียวกันของปีก่อน
ทั้งนี้ในรอบนี้เราไม่เลือกหุ้นกลุ่ม Electronic เข้ามาแม้ว่าจะได้ประโยชน์จากค่าเงินบาทอ่อนค่าเนื่องจาก คาดว่าแนวโน้มผลการดำเนินงานในไตรมาส 1/2565 ไม่ค่อยน่าสนใจ และราคาหุ้นถูกกดดันจากการปรับตัวของของราคาหุ้นในกลุ่มเทคโนโลยีโลก จากดอกเบี้ยขาขึ้น
สำหรับหุ้น/อุตสาหกรรม ที่คาดว่าจะได้ประโยชน์จาก “ค่าเงินบาทอ่อนค่า”
1) กลุ่มอิเลกทรอนิกส์เนื่องจากรายได้ส่วนใหญ่มาจากการส่งออก ต่างประเทศ โดยเรียงลำดับทุกการอ่อนค่า 1 บาทจะส่งผลต่อกำไรเพิ่มขึ้น จะมีผลทำให้กำไรเพิ่มขึ้น KCE เพิ่มขึ้น6% และ HANA เพิ่มขึ้น5%
2) กลุ่มอาหาร เนื่องจากมีรายได้ส่วนใหญ่จากต่างประเทศ โดยเรียงลำดับทุกการอ่อนค่า 1 บาท จะส่งผลต่อกำไรเพิ่มขึ้น SUN เพิ่มขึ้น 8% ,TU เพิ่มขึ้น 3% ,CPF เพิ่มขึ้น 5% ,ASIAN เพิ่มขึ้น 5%, GFPT เพิ่มขึ้น 2%
3) กลุ่มเกษตร เนื่องจากมีรายได้ส่วนใหญ่จากต่างประเทศ โดยเรียงลำดับทุกการอ่อนค่า 1 บาทจะส่งผลต่อกำไรเพิ่มขึ้น STA เพิ่มขึ้น 6% ,NER เพิ่มขึ้น 3% ,GFPT เพิ่มขึ้น 2%
4) อุตสาหกรรมอื่น ที่ได้ผลกระทบเชิงบวกจากค่าเงินบาทอ่อน เนื่องจากมีรายได้ส่วนใหญ่มาจากการส่งออก ได้แก่ SMPC ประเมินทุกๆ 1 บาทที่อ่อนค่าทำให้กำไรเพิ่มขึ้น 8-10% ส่วน MEGA ประเมินทุกๆ 1 บาทที่อ่อนค่าทำให้กำไรเพิ่มขึ้น 8% และEPG ประเมินทุกๆ 1 บาทที่อ่อนค่าทำให้กำไรเพิ่มขึ้น 3-4%
ส่วนหุ้น/อุตสาหกรรมที่คาดว่าจะได้รับผลลบจาก “ค่าเงินบาทอ่อนค่า”
1) กลุ่มสายการบิน THAI, AAV, BA มีโครงสร้างต้นทุนเป็นเงินสกุลดอลลาร์ราว 60% ค่าเงินบาท อ่อนค่าจะทำให้ต้นทุนเพิ่มขึ้น
2) กลุ่มพลังงาน เนื่องจากมี negative net exposure ต่อการเคลื่อนไหวของสกุลเงินดอลลาร์ต่อสกุลเงินบาท ส่งผลให้อาจจะมีการบันทึก unrealized fx loss สำหรับ PTTGC,TOP, IVL ขณะที่ผลกระทบต่อ PTTEP และ SPRC น่าจะมีจำกัดเพราะมีการใช้ USD เป็น functional currency