“โกลเบล็ก” คัด 6 หุ้นรับ “บาทอ่อน” ชู TU-KCE-SMT เด่นสุด

GBS ประเมินดัชนีหุ้นไทยกรอบ 1,650-1,700 จุด นักลงทุนวิตกเศรษฐกิจจะได้รับผลกระทบ หลังเฟดเร่งปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ย พร้อมคัด 6 หุ้นเด่นรับอานิสงส์บาทอ่อน ชู TU-KCE-SMT เด่น


นางสาววิลาสินี บุญมาสูงทรง ผู้อำนวยการฝ่ายวิจัย บริษัทหลักรัพย์ โกลเบล็ก จำกัด หรือ GBS ประเมินทิศทางตลาดหุ้นว่า มีโอกาสปรับตัวตามทิศทางตลาดต่างประเทศ โดยนักลงทุนวิตกว่าเศรษฐกิจจะได้รับผลกระทบจากการที่เฟดเร่งปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ย

โดย S&P โกลบอลเปิดเผยว่า PMI รวมภาคการผลิตและภาคบริการเบื้องต้นของสหรัฐ ปรับตัวลงสู่ระดับ 55.1 ในเดือนเม.ย. ซึ่งเป็นระดับต่ำสุดในรอบ 3 เดือนจากระดับ 57.7 ในเดือนมี.ค. ขณะที่สงครามรัสเซีย-ยูเครนที่ยืดเยื้อเป็นปัจจัยกดดันต้นทุนพลังงาน คาดดัชนีเคลื่อนไหวในกรอบ 1,650-1,700 จุด

ทั้งนี้ ปัจจัยที่ยังคงต้องจับตาต่อเนื่อง อาทิ การรายงานภาวะเศรษฐกิจไทยของธนาคารแห่งประเทศไทย(ธปท.) และการประชุมคณะกรรมการนโยบายการเงิน (กนง.) ครั้งที่ 3/2565 ในเดือนพ.ค.

รวมทั้งสถานการณ์ต่างประเทศ เช่น สหรัฐรายงานยอดสั่งซื้อสินค้าคงทนเดือนมี.ค. ราคาบ้านเดือนก.พ.จากเอสแอนด์พี/เคส-ชิลเลอร์ ยอดขายบ้านใหม่เดือนมี.ค. ความเชื่อมั่นผู้บริโภคเดือนเม.ย. ดัชนีการผลิตเดือนเม.ย. สหรัฐ เปิดเผยยอดทำสัญญาขายบ้านที่รอปิดการขาย (pending home sales) เดือนมี.ค. สต็อกน้ำมันรายสัปดาห์  จำนวนผู้ขอรับสวัสดิการว่างงานรายสัปดาห์ ตัวเลข GDP 1Q65 (ประมาณการเบื้องต้น) ของสหรัฐ

ดังนั้น แนะนำกลยุทธ์ลงทุนในหุ้นที่ได้ประโยชน์จากค่าเงินบาทอ่อนตัว ได้แก่ บริษัท ไทยยูเนี่ยน กรุ๊ป จำกัด (มหาชน) หรือ TU, บริษัท ซีเฟรชอินดัสตรี จำกัด (มหาชน) หรือ CFRESH, บริษัท เอเชี่ยนซี คอร์ปอเรชั่น จำกัด (มหาชน) หรือ ASIAN, บริษัท เดลต้า อีเลคโทรนิคส์ (ประเทศไทย) จำกัด (มหาชน) หรือ DELTA, บริษัท เคซีอี อีเลคโทรนิคส์ จำกัด (มหาชน) หรือ KCE และ บริษัท สตาร์ส ไมโครอิเล็กทรอนิกส์ (ประเทศไทย) จำกัด (มหาชน) หรือ SMT

ส่วนทิศทางการลงทุนในทองคำ นายณัฐวุฒิ วงศ์เยาวรักษ์ ผู้อำนวยการฝ่ายวิจัย บล. โกลเบล็ก กล่าวว่า แนวโน้มราคาทองคำในสัปดาห์นี้ต้องจับตาประกาศตัวเลข GDP งวดไตรมาส 1/65 ของสหรัฐว่าจะชะลอตัวลงหรือไม่ อีกทั้งประกาศตัวเลขเงินเฟ้อส่วนบุคคล Core PCE ซึ่งคาดการณ์ว่าจะปรับขึ้นต่อสอดคล้องกับภาพรวมของเงินเฟ้อของสหรัฐ อาจผลส่งให้อัตราผลตอบแทนพันธบัตรยังทรงตัวระดับสูงต่อไปได้

อย่างไรก็ตามฝ่ายวิจัยประเมินว่าเงินเฟ้อสหรัฐอาจผ่านจุดสูงสุดไปแล้ว เนื่องจากราคาน้ำมันดิบ WTI เฉลี่ยในเดือนเม.ย.65 อยู่ที่ 100 เหรียญต่อบาร์เรล ซึ่งต่ำกว่าเดือนมีนาคม 65 ที่ราคาน้ำมันดิบทรงตัวเหนือ 110 เหรียญต่อบาร์เรลเป็นระยะเวลากว่า 2 สัปดาห์ และล่าสุดเมื่อวันจันทร์ที่ 25 เม.ย.65 ราคาน้ำมัน WTI ร่วงลงหลุดระดับ 100 เหรียญต่อบาร์เรล

ขณะที่ธนาคารกลางสหรัฐ (เฟด) มีแนวโน้มใช้นโยบายการเงินที่เข้มงวดมากขึ้น กล่าวคือ เฟดอาจปรับขึ้นดอกเบี้ยนโยบาย 0.5% และลดขนาดงบดุล เป็นปัจจัยกดดันราคาทองคำในระยะถัดไป โดยคาดการณ์ว่าราคาทองคำแกว่งตัวออกข้างในกรอบ 1,900-1,975 เหรียญสหรัฐ/ออนซ์ ไม่ผ่านแนวต้านให้เทขายทำกำไร ย่อตัวลงไม่หลุดแนวรับให้ทยอยสะสม

Back to top button