FTI เปิดจอง “ไอพีโอ” เริ่มวันนี้! จ่อคิวเทรด SET 19 พ.ค.นี้
“ฟังก์ชั่น อินเตอร์เนชั่นแนล” หรือ FTI เปิดจองซื้อหุ้นไอพีโอ 130 ล้านหุ้น ระหว่างวันที่ 11-13 พ.ค.นี้ ในราคาหุ้นละ 2.50 บาท จ่อคิวเข้าเทรดใน SET วันที่ 19 พ.ค.นี้ ชูจุดขายผู้ดำเนินธุรกิจเครื่องกรองน้ำและระบบน้ำแบบครบวงจร (All Solutions of Water)
นายวิชา โตมานะ กรรมการผู้จัดการ สายงานวาณิชธนกิจ บริษัทหลักทรัพย์ ฟิลลิป (ประเทศไทย) จำกัด (มหาชน) ในฐานะที่ปรึกษาทางการเงิน (FA) ของ บริษัท ฟังก์ชั่น อินเตอร์เนชั่นแนล จำกัด (มหาชน) หรือ FTI กล่าวว่าทางด้าน FTI มีกำหนดเปิดให้จองซื้อหุ้นสามัญเพิ่มทุนให้กับประชาชนทั่วไปเป็นครั้งแรก (IPO) จำนวน 130 ล้านหุ้น ในราคาเสนอขาย 2.50 บาทต่อหุ้น ระหว่างวันที่ 11-13 พ.ค. 2565 และคาดว่าจะสามารถเข้าจดทะเบียนในตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทย (SET) กลุ่มสินค้าอุปโภคบริโภค ในหมวดของใช้ในครัวเรือนและสำนักงาน (Home) ในวันที่ 19 พ.ค. 2565
สำหรับผู้ร่วมจัดจำหน่ายและรับประกันการจำหน่ายอีก 4 แห่ง ประกอบด้วย บริษัทหลักทรัพย์ เอเชีย เวลท์ จำกัด, บริษัทหลักทรัพย์ โนมูระ พัฒนสิน จำกัด (มหาชน), บริษัทหลักทรัพย์ กรุงศรี จำกัด (มหาชน) และบริษัทหลักทรัพย์ บียอนด์ จำกัด (มหาชน)
ส่วนด้านการกำหนดราคาไอพีโอที่ระดับ 2.50 บาท คิดเป็นอัตราส่วนราคาหุ้นต่อกำไรสุทธิ (P/E) ประมาณ 30 เท่า ซึ่งเป็นระดับราคาที่เหมาะสมกับปัจจัยพื้นฐานที่แข็งแกร่ง และมีความน่าสนในอย่างมาก หากเทียบกับบริษัท เธียรสุรัตน์ จำกัด (มหาชน) หรือ TSR ที่มีค่า P/E กว่า 40 เท่า ขณะเดียวกันคาดว่าหลังจากเข้าจดทะเบียนในตลาดหลักทรัพย์ฯ แล้วค่า P/E ของ FTI น่าจะปรับลงเหลือประมาณ 15 เท่า โดยประมาณตามประเมินว่าผลประกอบการปีนี้โตราวปี 2563 ที่ทำกำไรสุทธิ 70.30 ล้านบาท และรายได้จากการขายจำนวน 860.55 ล้านบาท
ทั้งนี้การประมาณการผลประกอบการของ FTI ดังกล่าวเป็นการนำบทวิเคราะห์ บล.โนมูระ พัฒนสิน ที่เคยทำวิจัยการเติบโตของธุรกิจเครื่องกรองน้ำหลังจากสถานการณ์โควิด-19 คลี่คลาย มาประเมินร่วมกับข้อมูลผลประกอบการในอดีตของบริษัท อย่างไรก็ตามปัจจัยอื่นที่เกิดขึ้นในขณะนี้ อาทิ ค่าพลังงาน และค่าขนส่งที่ปรับตัวสูงขึ้น รวมถึงตัวเลขเงินเฟ้อที่เพิ่มสูงขึ้น ประกอบกับดัชนีความเชื่อมั่นผู้บริโภคลดลง อาจทำให้รายได้และกำไรที่ทีมข่าววิเคราะห์ไม่เป็นไปตามที่ได้ประเมินไว้
ดร.วิกร ภูวพัชร์ ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร FTI กล่าวว่า บริษัทเป็นผู้ดำเนินธุรกิจเครื่องกรองน้ำและระบบน้ำแบบครบวงจร (All Solutions of Water) โดยประกอบธุรกิจนำเข้า ประกอบผลิตและจำหน่ายผลิตภัณฑ์เกี่ยวกับระบบบำบัดน้ำ (Water Treatment) มีผลิตภัณฑ์กว่า 5,000 รายการ จากแบรนด์สินค้า 23 แบรนด์ ครอบคลุมฐานผู้บริโภคสินค้าทุกกลุ่มการใช้งาน ประเภทผู้บริโภคกลุ่ม เชิงพาณิชย์ กลุ่มครัวเรือน และกลุ่มอุตสาหกรรม ซึ่งบริษัทได้มีการขยายฐานผู้บริโภคทั้งในประเทศและประเทศเพื่อนบ้านอย่าง กัมพูชา เมียนมา และ สปป.ลาว ผ่านร้านค้าและผู้จัดจำหน่ายประมาณ 600 ราย โดยยังมีแผนที่จะขยายสาขาในประเทศเพื่อนบ้านเพิ่มเติมในอนาคต
สำหรับเงินที่ได้จากการระดมทุน วัตถประสงค์ของบริษัทจะนำไปใช้ในการขยายตัวแทนจำหน่าย ภายในปี 2565-2567 ได้แก่ การขยายร้าน Aquatek จำนวน 50 สาขา ใช้งบลงทุนประมาณ 150 ล้านบาท และขยายร้าน Water Store จำนวน 5 สาขา ใช้เงินลงทุนประมาณ 15 ล้านบาท รวมถึงเพื่อใช้ในการตกแต่งอาคารจัดแสดงสินค้าและจัดจำหน่ายสินค้าใหม่ ใช้เงินลงทุนประมาณ 35 ล้านบาท และใช้ในการปรับปรุงอาคารคลังสินค้า ในปี 2565-2566 ได้แก่ ปรับปรุงขยายพื้นที่คลังสินค้าและลงทุนในระบบการจัดการคลังสินค้า ใช้เงินลงทุนประมาณ 10 ล้านบาท และติดตั้งแผงโซลาร์เซลล์ ใช้เงินลงทุนประมาณ 5 ล้านบาท รวมถึงใช้ในการขยายกำลังการผลิตประกอบ ใช้เงินลงทุนประมาณ 5 ล้านบาท และขยายฐานผลิตภัณฑ์กลุ่มปั๊มและวาล์ว อีกทั้งใช้พัฒนาระบบ IT (ปรับปรุงระบบเดิม และลงทุนในระบบใหม่ เช่น CRM, IoT) ส่วนที่เหลือจะใช้เป็นเงินทุนหมุนเวียน
อย่างไรก็ดีช่วงที่ผ่านมาบริษัทมีรายได้เติบโตปีละประมาณ 20-30% และกำไรสุทธิปกติโตประมาณ 10% ซึ่งในส่วนของการเติบโตหลักมาจากยอดจากแบรนด์ของบริษัทเองราว 80-90% ซึ่งเดิมกล่มลูกค้าเป็นระดับกลาง-ล่าง และหลังจากนี้จะมุ่งเน้นขยายในระดับกลาง-บน
ทั้งนี้ในปี 2565 คาดจะมีรายได้ประมาณ 900 ล้านบาท แบ่งเป็นสัดส่วนรายได้จากกลุ่มการพาณิชย์ ประมาณ 33-34% กลุ่มครัวเรือน ประมาณ 32% อุตสาหกรรมกว่า 20% และสารกรองที่อยู่ในทุกกลุ่มผลิตภัณฑ์กว่า 10% อีกทั้งจะพยายามรักษาอัตรากำไรขั้นต้นไว้ไม่ต่ำกว่า 28%