สุดยอด 9 หุ้นเด่นเดือนต.ค. รีเทิร์นเกิน 40%

“ข่าวหุ้นธุรกิจออนไลน์” คัดสุดยอด 9 หุ้นเด่นประจำเดือนต.ค.58 โดยใช้เกณฑ์การคัดเลือกจากหุ้นที่ราคาปรับตัวขึ้นเกิน 40%


“ข่าวหุ้นธุรกิจออนไลน์” ได้ทำการสำรวจหุ้นจากตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทย ทั้งตลาด เอ็ม เอ ไอ (mai) และ SET โดยใช้เกณฑ์คัดเลือกจากหุ้นที่มีการปรับตัวขึ้นเกิน 40% ในช่วงเดือนตุลาคมที่ผ่านมา ซึ่งเป็นช่วงที่ตลาดหุ้นค่อนข้างผันผวน และมีการปรับตัวลงไปต่ำสุดที่ 1,342 จุด เมื่อวันที่ 2 ต.ค.58 ก่อนดัชนีจะเริ่มปรับตัวขึ้นมาในช่วงปลายเดือน

สำหรับหุ้นที่ปรับตัวขึ้นเกิน 40% ภายในเดือนต.ค. (สิ้นสุด 29 ต.ค.) มีดังนี้

top10oct

รวบรวมข้อมูลจาก SET, SETSMART

 

อันดับแรก เริ่มต้นที่บริษัท ทาพาโก้ จำกัด (มหาชน) หรือ TAPAC ผู้ดำเนินธุรกิจผลิตชิ้นส่วนพลาสติกและประกอบชิ้นส่วนพลาสติกเพื่อใช้สำหรับอุปกรณ์ไฟฟ้าและผลิตภัณฑ์อิเล็คโทรนิคส์

โดยก่อนหน้านี้ตลท.ได้มีการสอบถามถึงพัฒนาการที่สำคัญ และสารสนเทศที่มีนัยสำคัญที่อยู่ระหว่างการพิจารณาและอาจเปิดเผยในระยะเวลาอันใกล้ของบริษัท เนื่องจากราคาหุ้นมีการปรับตัวขึ้นแรง ขณะที่บริษัทชี้แจงว่า ยังไม่มีพัฒนาการที่มีนัยสำคัญแต่อย่างใด อย่างไรก็ตาม อยู่ระหว่างพิจารณาแผนธุรกิจปี 2559

ขณะที่ราคาหุ้น TAPAC ปิดตลาดอยู่ที่ ราคาอยู่ที่ 16.50 บาท ลบ 0.20 บาท หรือ 1.20% สูงสุด 15.60 บาท ต่ำสุด 17.40 บาท มูลค่าการซื้อขาย 78.15 ล้านบาท

 

อันดับ 2 บริษัท เอสซีไอ อีเลคตริค จำกัด (มหาชน) หรือ SCI ผู้ดำเนินธุรกิจผลิตและจำหน่ายตู้สวิทช์บอร์ด รางเดินสายไฟและอุปกรณ์รองรับ ,ผลิตและจำหน่ายเสาไฟฟ้าแรงสูง เสาสื่อสารโทรคมนาคม และโครงสร้างเหล็กชุบกัลวาไนซ์และบริการชุบสังกะสี ,ธุรกิจโรงไฟฟ้าพลังงานทดแทน และธุรกิจบริการรับเหมาติดตั้งระบบส่งไฟฟ้าแรงสูงและระบบไฟฟ้าจำหน่าย

ทั้งนี้ SCI เข้าซื้อขายใน SET วันแรกในวันที่ 13 ต.ค. 58 จากราคาขาย IPO ที่ 5.90 บาท ซึ่งในวันแรกสามารถเหนือจองได้ เป็นการสะท้อนให้เห็นว่ากลุ่มผู้ถือหุ้นรายใหญ่ไม่มีแนวคิดที่จะขายหุ้นออกมา พร้อมมีความตั้งใจถือหุ้นไว้ระยะยาว

ด้าน บล.ไอร่า ระบุในบทวิเคราะห์ แนะนำ Short Against Port ให้แนวรับที่ 9.95,9.70 บาท แนวต้านที่ 10.80, 11.00 บาท

ขณะที่ราคาหุ้น SCI ปิดตลาดอยู่ที่ ราคาอยู่ที่ 10.80 บาท บวก 0.10 บาท หรือ 0.93% สูงสุด 11.00 บาท ต่ำสุด 10.70 บาท มูลค่าการซื้อขาย 1,009.11 ล้านบาท

 

อันดับ 3 บริษัท ยูเรกา ดีไซน์ จำกัด (มหาชน) หรือ UREKA ผู้ดำเนินธุรกิจให้บริการออกแบบและผลิตเครื่องจักร สำหรับการประกอบและทดสอบชิ้นส่วนยานยนต์ และอุปกรณ์จับยึดสำหรับใช้ในโรงงานอุตสาหกรรม รวมทั้งการปรับปรุงแก้ไขซ่อมแซมเครื่องจักรเดิม และการจัดหาอุปกรณ์และวัสดุสิ้นเปลืองให้ลูกค้า

ก่อนหน้านี้มีข่าวลือในห้องค้าหลักทรัพย์ว่า UREKA ตกเป็นเป้าหมายการซื้อกิจการ ซึ่งบริษัทได้ออกมาปฏิเสธข่าวดังกล่าว ด้านปัจจัยพื้นฐานของบริษัทไม่ได้มีการเปลี่ยนแปลงไปมากนัก โดยผลประกอบกการปีนี้จะยังคงขาดทุนสุทธิต่อเนื่องหลังได้รับผลกระทบจากอุตสาหกรรมยานยนต์ที่ตกต่ำ แต่คาดว่าบริษัทจะพลิกกลับมามีกำไรสุทธิได้ในปีหน้า เนื่องจากมีการปรับแผนธุรกิจที่เน้นขายสินค้าที่มีอัตรากำไร (มาร์จิ้น) สูง และผลิตภัณฑ์เครื่องจักรที่มีมาตรฐานและคุณภาพ

ราคาหุ้น UREKA ปิดตลาดอยู่ที่ ราคาอยู่ที่ 1.62 บาท บวก 0.02 บาท หรือ 1.25% สูงสุด 1.65 บาท ต่ำสุด 1.60 บาท มูลค่าการซื้อขาย 2,161.53 ล้านบาท

 

อันดับ 4 บริษัท ออริจิ้น พร็อพเพอร์ตี้ จำกัด (มหาชน) หรือ ORI ผู้ดำเนินธุรกิจพัฒนาอสังหาริมทรัพย์ประเภทคอนโดมิเนียมตามแนวสถานีขนส่งมวลชนระบบรางในเขตกรุงเทพมหานครและปริมณฑล และธุรกิจให้บริการที่เกี่ยวเนื่องกับธุรกิจอสังหาริมทรัพย์ ได้แก่ บริการจัดหาผู้เช่าห้องชุด และบริการรับจ้างบริหารโครงการนิติบุคคลอาคารชุดแก่โครงการที่บริษัทเป็นผู้พัฒนาเท่านั้น

บริษัทมองแนวโน้มผลดำเนินงานในไตรมาส 3/58 จะเป็นการรับรู้รายได้จากการโอนของโครงการเก่าที่ก่อสร้างแล้วเสร็จ แต่เชื่อว่าไตรมาส 4 จะเห็นการเติบโตของผลดำเนินงานที่ดีขึ้น เนื่องจากมีการรับรู้รายได้จากโครงการใหม่ที่ก่อสร้างแล้วเสร็จ ซึ่งจะทำให้บริษัทสามารถทำรายได้ตามเป้าหมายที่ 2,000 ล้านบาท หลังจากที่ครึ่งปีแรกทำรายได้รวมได้ประมาณ1,080 ล้านบาท และมีกำไรสุทธิประมาณ 230 ล้านบาท

ราคาหุ้น ORI ปิดตลาดอยู่ที่ ราคาอยู่ที่ 14.70 บาท ลบ 0.10 บาท หรือ 0.68% สูงสุด 15.00 บาท ต่ำสุด 14.60 บาท มูลค่าการซื้อขาย 258.18 ล้านบาท

 

อันดับ 5 บริษัท ทิปโก้ฟูดส์ จำกัด (มหาชน) หรือ TIPCO ผู้ดำเนินธุรกิจผลิตและจำหน่ายสับปะรดกระป๋อง น้ำสับปะรดเข้มข้น น้ำผลไม้รวมและเครื่องดื่มบรรจุพร้อมดื่ม เช่น น้ำสมุนไพรและน้ำแร่ธรรมชาติพร้อมดื่ม โดยจำหน่ายทั้งในประเทศและต่างประเทศ ภายใต้เครื่องหมายการค้าหลัก TIPCO

บล.ดีบีเอส วิคเคอร์ส (ประเทศไทย) คาดว่าปีนี้ TIPCO จะสามารถทำกำไรสุทธิสูงสุดเป็นประวัติการตั้งแต่จัดตั้งบริษัทมา (Hi Record) ด้วยกำไรสุทธิ 1 พันล้านบาท เทียบกับปี 57 ที่มีกำไรสุทธิเพียง 78 ล้านบาท

ขณะที่ราคาหุ้น TIPCO ปิดตลาดอยู่ที่ ราคาอยู่ที่ 22.80 บาท บวก 0.80 บาท หรือ 3.64% สูงสุด 23.00 บาท ต่ำสุด 22.20 บาท มูลค่าการซื้อขาย 611.63 ล้านบาท

 

อันดับ 6 บริษัท ประกิต โฮลดิ้งส์ จำกัด (มหาชน) หรือ PRAKIT ผู้ดำเนินธุรกิจลงทุนในบริษัทร่วมและบริษัทย่อย ซึ่งประกอบธุรกิจโฆษณา ให้บริการเกี่ยวกับการให้คำแนะนำปรึกษา วางแผน จัดซื้อและจัดทำรายงานทางด้านสื่อโฆษณา 3) ให้บริการทางด้านงานบริหาร งานบัญชีและการเงิน งานบริหารงานบุคคล แก่บริษัทร่วมบริษัทย่อย บริษัทที่เกี่ยวข้อง และบริษัทอื่น

ก่อนหน้านี้บริษัทมีข่าวการขายกิจการหรือเทกโอเวอร์ ขณะที่บริษัทชี้แจงต่อกรณีดังกล่าวว่า ไม่มีการขายกิจการหรือถูกเทกโอเวอร์เด็ดขาด โดยว่าราคาหุ้นที่ปรับตัวขึ้นมาในช่วงนี้ น่าจะมาจากแรงเก็งกำไรของนักลงทุนเท่านั้น

ขณะที่ราคาหุ้น PRAKIT ปิดตลาดอยู่ที่ ราคาอยู่ที่ 20.90 บาท ลบ 0.30 บาท หรือ 1.42% สูงสุด 22.80 บาท ต่ำสุด 20.90 บาท มูลค่าการซื้อขาย 660.76 ล้านบาท

 

อันดับ 7 บริษัท ทิปโก้แอสฟัลท์ จำกัด (มหาชน) หรือ TASCO ผู้ดำเนินธุรกิจผลิตและจำหน่ายผลิตภัณฑ์ยางมะตอยที่ใช้สำหรับงานก่อสร้างและซ่อมบำรุงถนน รวมถึงทางวิ่งขึ้นลงของสนามบิน

บล.ทรีนิตี้ คาดว่าหุ้น TASCO เป็นหุ้นที่มีโอกาสถูกนำเข้าดัชนี SET50 รอบถัดไปโดยใช้ข้อมูลล่าสุดถึงวันที่ 2 พ.ย. 58 เนื่องจาก ณ ขณะนี้มีมูลค่าตลาด (Market cap) เฉลี่ยนับตั้งแต่ต้นเดือนกันยายนที่ผ่านมาอยู่ในลำดับที่ 39 ของหุ้นทั้งหมดแล้ว และมูลค่าการซื้อขายก็ผ่านเกณฑ์ที่ตลาดฯกำหนดแล้วอีกด้วย

โดยหาก TASCO ถูกบรรจุเข้าสู่ SET50 ในรอบถัดไปจริงจะทำให้มีเม็ดเงินจาก Index Fund ไหลเข้าสู่ตัวหุ้นพอสมควร เนื่องจาก ณ ปัจจุบัน TASCO ไม่ได้เป็นทั้งสมาชิกของ SET50 และ SET100 แต่อย่างใด

นอกจากนั้น คาดการณ์ว่า TASCO ยังมีลุ้นเป็นหนึ่งในหุ้นไทยที่อาจถูกคัดเลือกเข้าสู่ดัชนี MSCI Small cap ในการประกาศผลช่วงเช้าวันที่ 13 พ.ย.นี้อีกด้วย จึงแนะนำ “ซื้อเก็งกำไร” TASCO จากประเด็นดังกล่าว

ขณะที่ราคาหุ้น TASCO ปิดตลาดอยู่ที่ ราคาอยู่ที่ 43.25 บาท บวก 1.00 บาท หรือ 2.37% สูงสุด 43.25 บาท ต่ำสุด 42.50 บาท มูลค่าการซื้อขาย 399.91 ล้านบาท

 

อันดับ 8 บริษัท คอมเซเว่น จำกัด (มหาชน) หรือ COM7 ผู้ประกอบธุรกิจจำหน่ายสินค้าไอทีประเภทคอมพิวเตอร์แล็บท็อป คอมพิวเตอร์แบบตั้งโต๊ะ โทรศัพท์เคลื่อนที่ แท็บเล็ต อุปกรณ์เสริมที่เกี่ยวข้อง และการให้บริการซ่อมแซมสินค้า รวมถึงการให้บริการเกี่ยวกับโทรศัพท์มือถือ

สำหรับปัจจัยที่ราคาหุ้น COM7 ปรับตัวขึ้นแรง คาดว่าประเด็นที่นักลงทุนเข้าซื้อเก็งกำไรจากการที่บริษัทจะได้รับประโยชน์จากการเปิดตัว IPHONE 6S ในแง่ของยอดขายที่มีโอกาสเพิ่มขึ้น

บล.เอเชีย พลัส ระบุในบทวิเคราะห์ ว่ากรณีที่นักลงทุนเริ่มหันมาสนใจมากขึ้นหลังเห็นผลการดำเนินงานที่แข็งแกร่งของบริษัท อีกทั้งได้เปรียบจากเงื่อนไขใหม่ที่สามารถสั่งซื้อ IPHONE โดยตรงกับ APPLE นอกจากนี้ประเมิณผลประกอบการในไตรมาส 4 ปี 58 จะมีกำไรสูงสุด แนะนำซื้อ ให้ราคาเป้าหมาย 5.75 บาท อีกทั้งมองว่าเป็น Top pick ของกลุ่มค้าปลีก

ขณะที่ราคาหุ้น COM7 ปิดตลาดอยู่ที่ ราคาอยู่ที่ 4.62 บาท บวก 0.12 บาท หรือ 2.67% สูงสุด 4.66 บาท ต่ำสุด 4.54 บาท มูลค่าการซื้อขาย 267.27 ล้านบาท

 

อันดับ 9 บริษัท ฟิลเตอร์ วิชั่น จำกัด (มหาชน) หรือ FVC ผู้ดำเนินธุรกิจจัดจำหน่าย ปรับปรุงและซ่อมแซมระบบที่เกี่ยวข้องกับระบบบำบัดน้ำให้บริสุทธิ์อีกทั้งจัดจำหน่าย พร้อมออกแบบ ประกอบ และติดตั้งระบบที่เกี่ยวข้องกับระบบบำบัดน้ำให้บริสุทธิ์และให้บริการดูแลบำรุงรักษาระบบที่เกี่ยวข้องกับระบบบำบัดน้ำให้บริสุทธิ์

บริษัทมองแนวโน้มรายได้ในปี 59-60 คาดว่าจะทำได้ไม่ต่ำกว่า 500 ล้านบาท โดยจะมีสัดส่วนรายได้จากธุรกิจด้านการแพทย์ภายใต้ บริษัท เคที เมดิคอล เซอร์วิส จำกัด (KTMS) เพิ่มขึ้นเป็น 30-40% อย่างไรก็ตาม ยอมรับว่ากำไรสุทธิจะต่ำกว่าปีก่อนที่มีกำไรราว 12 ล้านบาท ส่วนรายได้ปีนี้ยังมั่นใจว่าจะมากกว่าปีก่อนที่ 383.27 ล้านบาท แม้อาจจะเติบโตไม่ได้ตามเป้าหมายที่วางไว้ในระดับ 18-20%

ขณะที่ราคาหุ้น FVC ปิดตลาดอยู่ที่ ราคาอยู่ที่ 4.76 บาท บวก 0.02 บาท หรือ 0.42% สูงสุด 4.78 บาท ต่ำสุด 4.62 บาท มูลค่าการซื้อขาย 961.43 ล้านบาท

 

เห็นได้อย่างชัดเจนว่าการลงทุนในช่วงเวลาดังกล่าว ส่วนใหญ่เป็นการเก็งกำไรในหุ้นที่มีข่าวหรือประเด็นบวกเฉพาะตัว ซึ่งจะอยู่ในรูปแบบการเก็งกำไรสั้นๆ เท่านั้น ดังนั้นนักลงทุนควรระมัดระวังในการลงทุนช่วงที่ตลาดยังมีทิศทางไม่ชัดเจน นักลงทุนระยะยาวที่รับความเสี่ยงได้น้อยอาจพิจารณาถึงพื้นฐานของบริษัทจดทะเบียนนั้นๆ ก่อนการลงทุนเป็นสำคัญ

 

*อนึ่ง ข้อมูลที่มีการนำเสนอข้างต้น เป็นเพียงข้อแนะนำจากข้อมูลพื้นฐานเพื่อประกอบการตัดสินใจของนักลงทุนเท่านั้น และมิได้เป็นการชี้นำ หรือเสนอแนะให้ซื้อหรือขายหลักทรัพย์ใดๆ การตัดสินใจซื้อหรือขายหลักทรัพย์ใดๆ ของผู้อ่าน ไม่ว่าจะเกิดจากการอ่านบทความในเอกสารนี้หรือไม่ก็ตาม ล้วนเป็นผลจากการใช้วิจารณญาณของผู้อ่าน

Back to top button