OSP กางแผน Q2 ออกสินค้าใหม่-เร่งคุมต้นทุน ดันมาร์จิ้นเพิ่ม
OSP กางแผนไตรมาส 2/65 เตรียมออกสินค้าใหม่ มุ่งเน้นลดต้นทุนผลิต ดันมาร์จิ้นเพิ่มขึ้น พร้อมวางงบลงทุนปีนี้ 1.5 พันลบ. และตั้งเป้าลดต้นทุนค่าใช้จ่าย 5 พันลบ.ภายใน 5-7 ปีนี้
นางพรธิดา บุญสา ประธานฝ่ายปฏิบัติการ และประธานเจ้าหน้าที่บริหารกลุ่มการเงิน บริษัท โอสถสภา จำกัด (มหาชน) หรือ OSP เปิดเผยว่า จากสถานการณ์โควิดคลี่คลายลงช่วยผลักดันให้ยอดขายของบริษัทมีโมเมนตัมดีขึ้น โดยเฉพาะกลุ่มเครื่องดื่มชูกำลัง (Energy Drinks) มียอดขายเติบโต 3.6% ในไตรมาส 1/2565 ซึ่งในแง่จำนวนเงินถือว่าเติบโตมาก และจะเป็นตัวผลักดันการเติบโตของบริษัท
ส่วนในไตรมาส 2/2565 อัตรากำไรขั้นต้น (Gross Profit Margin) ดีขึ้นจากการออกสินค้าใหม่ โดยเฉพาะเครื่องดื่มชูกำลัง เอ็ม 150 สูตรใหม่ ราคา 12 บาทเมื่อปลายเดือนเมษายน 2565 ซึ่งเป็นสินค้าพรีเมี่ยมที่เข้ามาเสริมพอร์ตที่มีอยู่ โดยบริษัทคาดว่าภายใน 1-2 ปีจะมียอดขายสินค้าพรีเมี่ยมอย่างน้อย 75% ของเครื่องดื่มชูกำลังทั้งหมด
อย่างไรก็ตาม บริษัทก็ยังมีเครื่องดื่มชูกำลังราคา 10 บาทเป็นทางเลือกอยู่แล้ว คาดว่าส่วนแบ่งตลาดเครื่องดื่มชูกำลังของ OSP ในปีนี้น่าจะยังรักษาไว้ได้ โดย ณ สิ้นเดือน มีนาคม 2565 และเครื่องดื่มเอ็ม 150 มีส่วนแบ่งตลาด 39.5%
สำหรับเครื่องดื่มน้ำกัญชาน้ำตาล 0% เป็นสินค้าออกใหม่ที่ได้รับความสนใจจากผู้บริโภคที่เพิ่งออกสู่ตลาดได้รับการตอบรับที่ดีกว่าที่คาดไว้ ซึ่งบริษัทมองว่าเป็นสินค้าที่แนวโน้มเติบโตดี และบริษัทจะเร่งการผลิตให้มากขึ้น ขณะที่ต้นทุนก๊าซธรรมชาติสูงขึ้นที่กระทบต้นทุนการผลิตของบริษัทนั้น
ทั้งนี้ บริษัทมีสัญญาระยะยาวซื้อก๊าซกับ บริษัท ปตท. จำกัด (มหาชน) หรือ PTTและบริษัทยังมีนโยบายลดการใช้พลังงาน อาทิ การปรับเปลี่ยนมาใช้ light bottle และ การใช้ไฟฟ้าจากพลังงานแสงอาทิตย์ ทั้งจากโซลาร์รูฟท็อป และโซลาร์เซลล์
“โดยสิ่งที่เป็น Positive Factor ของเราโดยไตรมาสที่ 1/2565 บริษัทเพิ่งเริ่มผลิตเอ็ม 150 ที่เป็นขวดเบา ฉะนั้น Process ที่โรงแก้วและโรงเครื่องดื่มยังไม่มีประสิทธิภาพ ไตรมาส 2/2565 จะ Positive การผลิตมีประสิทธิภาพสูงขึ้น และการที่ launch เอ็ม 150 สูตรใหม่ 12 บาท เดือนเมษายน ก็จะเป็น Positive factor ซึ่งดูจากราคาก๊าซแล้ว บริษัทคิดว่า 2 ตัวนี้เป็นตัวช่วยทำให้ Gross Margin ในไตรมาส 2/2565 ปรับขึ้นมากกว่าไตรมาสที่ 1/2565” นางพรธิดา กล่าว
ทั้งนี้ ต้นทุนการผลิตของบริษัทหลักเป็นก๊าซและน้ำมัน รองลงมาวัตถุดิบการผลิตที่ได้ล็อกราคาเป็นเงินบาทไว้แล้ว โดยในปีนี้บริษัทตั้งงบลงทุน 1,500 ล้านบาท ส่วนใหญ่ใช้ในการลดการใช้พลังงาน ซึ่งบริษัทได้ตั้งเป้าลดต้นทุนค่าใช้จ่ายให้ได้ 5 พันล้านบาทภายใน 5-7 ปีนี้
อย่างไรก็ตาม สถานการณ์ในตลาดเมียนมาทรงตัวหลังมีรัฐประหารและมีการระบาดฺโควิด แต่ก็ยังเติบโตได้ เพราะสินค้าของโอสถสภาเป็นผู้นำตลาดเมียนมา และแบรนด์ของบริษัทแข็งแรง ก็คาดว่าตลาดเมียนมาก็ยังเติบโตต่อเนื่อง แต่ต้องติดตามสถานการณ์ตลาดเมียนมาอย่างใกล้ชิด
สำหรับในไตรมาส 1/2565 สินค้าในกลุ่ม OSP ยังสามารถครองส่วนแบ่งตลาดไว้ได้ ได้แก่ เครื่องดื่มชูกำลัง มีส่วนแบ่ง 54% (ลดลง 90 bps YoY) ของมูลค่าตลาดรวมที่ 1.9 หมื่นล้านบาท ลดลง 5.3% Functional Drinks มีส่วนแบ่งตลาด 42.6% (เพิ่มขึ้น 770 bps YoY) ของมูลค่าตลาดรวม 8,200 ล้านบาท ลดลง 1.6% จากปีก่อน และ Personal Care มีส่วนแบ่งตลาด 34.0% (เพิ่มขึ้น 60 bps YoY) ของมูลค่าตลาดรวม 1,300 ล้านบาท ลดลง 0.3%
ทั้งนี้ไตรมาส 1/2565 OSP ทำสถิติสูงสุดทั้งรายได้รวม 7,518 ล้านบาท (เพิ่มขึ้น 5.6% จากปีก่อน และ 7.2% จากไตรมาสก่อน) และรายได้จากการขาย 7,472 ล้านบาท (เติบโต 10.3% จากปีก่อน และ 7.5% จากไตรมาสก่อน) จากการเติบโตอย่างแข็งแกร่งในทุกกลุ่มธุรกิจทั้งในและต่างประเทศ สะท้อนความแข็งแกร่งของตราสินค้าของกลุ่มผลิตภัณฑ์และความสามารถในการดำเนินงานอย่างมีประสิทธิภาพ
โดยบริษัทรายงานกำไรสุทธิส่วนที่เป็นของบริษัทสำหรับไตรมาส 1/2565 อยู่ที่ 750 ล้านบาท และมีอัตรากำไรสุทธิส่วนที่เป็นของบริษัท 10.0% ซึ่งหากไม่รวมผลกระทบจากอัตราแลกเปลี่ยนเติบโต 8.1% จากปีก่อน เมื่อเทียบกับกำไรสุทธิจากการดำเนินงานที่ไม่รวมเงินปันผลรับจากเงินลงทุนในบริษัทอื่น จำนวน 305 ล้านบาทและผลกระทบจากอัตราแลกเปลี่ยนในไตรมาส 1/2564 สะท้อนภาพรวมการดำเนินงานที่เติบโต แม้ต้องเผชิญกับผลกระทบจากการปรับขึ้นราคาพลังงานและสินค้าโภคภัณฑ์และการเร่งตัวของอัตราเงินเฟ้อทั่วโลก