พาราสาวะถี
คึกคักเป็นธรรมดาสำหรับการเปิดเรียนแบบออนไซต์ทั่วประเทศวันแรกวานนี้ หลังจากที่ต้องเรียนแบบลักปิดลักเปิดมาเกือบ 2 ปี
คึกคักเป็นธรรมดาสำหรับการเปิดเรียนแบบออนไซต์ทั่วประเทศวันแรกวานนี้ หลังจากที่ต้องเรียนแบบลักปิดลักเปิดมาเกือบ 2 ปี โดยปีที่ผ่านมาเด็กต้องเรียนแบบออนไลน์ร้อยเปอร์เซ็นต์ทั้งปี ความเป็นห่วงของพ่อแม่ผู้ปกครองย่อมมีมากเป็นธรรมดา ท่ามกลางสถานการณ์โควิด-19 สายพันธุ์โอมิครอนที่แม้ตัวเลขจะลดลงแต่ยังวางใจไม่ได้ แต่เพื่อพัฒนาการที่ดีของเด็กทุกคนก็จำเป็นต้องเลือก ด้วยหวังว่ามาตรการป้องกันส่วนตัวและความเข้มข้นของระเบียบที่แต่ละโรงเรียนวางไว้จะช่วยทำให้ลูกหลานปลอดภัยมากที่สุด
ส่วนการประชุมครม.หลังหยุดยาวมาหลายวัน เป็นไปตามที่คาด แม้ผู้นำเผด็จการสืบทอดอำนาจจะปากกล้าอ้างฐานะทางการเงินการคลังของประเทศทำให้ต้องทบทวนและคิดหนัก ต่อการที่จะตัดสินใจว่าต้องยืดอายุการลดภาษีสรรพสามิตน้ำมันดีเซลที่จะสิ้นสุดในวันที่ 20 พฤษภาคมนี้ออกไปหรือไม่ สุดท้ายก็แพ้อาการขาสั่นเมื่อที่ประชุมมีมติให้ต่ออายุออกไปจนถึงสิ้นเดือนกรกฎาคมนี้ และยังลดมากกว่าที่มองกันไว้ก่อนหน้าที่ลิตรละ 3 บาทเป็น 5 บาทด้วย
เป็นภาพสะท้อนภาวะขาลงของผู้นำเผด็จการสืบทอดอำนาจและองคาพยพที่เกี่ยวข้องได้เป็นอย่างดี ไม่ใช่เพราะคำขู่ของบรรดาผู้ประกอบการรถบรรทุกทั้งหลายประสบผลสำเร็จ หากแต่มองไปรอบด้านการไม่ช่วยเหลือใด ๆ ในส่วนของน้ำมันดีเซล ทุกอย่างมันจะถูกผลักภาระไปให้ประชาชนทั้งหมด ภายใต้สถานการณ์ต้นทุนชีวิตที่สูงต่อเนื่องมาตลอดอยู่แล้ว หากยังปล่อยผ่านก็เท่ากับเป็นการฆ่าตัวตาย เมื่อไม่ได้ใช้อำนาจเผด็จการบริหารแบบเบ็ดเสร็จเด็ดขาด มันจึงต้องฟังเสียงของประชาชนแม้จะขัดใจตัวเองก็ตาม
โค้งสุดท้ายแต่แนวโน้มการตัดสินใจของคนเมืองหลวงผ่านโพลแทบทุกสำนักไม่มีอะไรเปลี่ยนแปลง ชัชชาติ สิทธิพันธุ์ ผู้สมัครอิสระหมายเลข 8 ยังนำโด่ง ไม่ว่าจะถูกฝ่ายหวงอำนาจสุมหัวเล่นงานกันยังไงก็ตาม ไม่ว่าจะแบ่งฝ่ายของจำนวนผู้มีสิทธิเลือกตั้ง 4.7 ล้านคนอย่างไร ฝ่ายเอาหรือไม่เอาทักษิณ ฝ่ายเอาหรือไม่เอาเผด็จการสืบทอดอำนาจ ชัชชาติก็ยังเป็นตัวเลือกที่คนส่วนใหญ่ได้ตัดสินใจไว้ล่วงหน้าแล้วอยู่ดี และการเลือกตั้งครั้งนี้ตัวชี้วัดที่สำคัญคือคนรุ่นใหม่หรือผู้ที่มีอายุ 18 ปีบริบูรณ์ขึ้นไป ที่จำนวนไม่น้อยควรได้ใช้สิทธิไปแล้วก่อนหน้า ถ้าเผด็จการคสช.ไม่ใช้อำนาจให้ผู้ว่าฯ ลากตั้งลากยาวเพื่อหวังชิงความได้เปรียบ
ความจริงไม่ได้มีอะไรเหนือความคาดหมายทั้งในแง่ของตัวผู้สมัครและวิธีการที่แต่ละฝ่ายจะใช้มาเรียกคะแนนนิยมให้กับตัวเอง โดยเฉพาะกับพวกมนุษย์ดึกดำบรรพ์กับสารพัดวิชาสามานย์ เพียงแต่ว่าก่อนหน้านั้นหรือเอาแค่ห้วงระยะเวลาอันใกล้คือการเลือกตั้งผู้ว่าฯ กทม.เมื่อปี 2556 มีตัวเลือกของสองฝ่ายแค่ฝ่ายละ 1 คนเท่านั้น นั่นจึงเป็นผลให้ สุขุมพันธุ์ บริพัตร จากประชาธิปัตย์ เอาชนะ พลตำรวจเอกพงศพัศ พงษ์เจริญ จากเพื่อไทยได้ด้วยสโลแกน “ไม่เลือกเราเขามาแน่”
แต่ครั้งนี้ไม่ใช่ บริบทหลายอย่างไม่เหมือนเดิมฝ่ายที่ถูกยัดเยียดว่าเป็นพวกทักษิณคือ ชัชชาติ กับ วิโรจน์ ลักขณาอดิศร สามารถอธิบายภาพได้ชัดเจนว่าไร้ความเกี่ยวพันกันโดยสิ้นเชิง รายแรกแม้จะเคยเป็นรัฐมนตรีในยุคยิ่งลักษณ์และเป็นสมาชิกของเพื่อไทย แต่ก็ถอยห่างจากจุดนั้นมานานหลายปีชนิดไม่มีความข้องเกี่ยวใด ๆ ต่อกัน ส่วนการที่ฐานเสียงของพรรคจะเทคะแนนให้ชัชชาติก็ไม่ใช่เรื่องแปลก ในเมื่อคนกลุ่มนี้ก็ไม่เลือกอีกฝั่งอยู่แล้ว
ด้านของวิโรจน์ยิ่งไปกันใหญ่ ภาพของความเป็นฝักฝ่ายทักษิณเลิกพูดได้เลย แต่ก็จะถูกยัดเยียดความเป็นพวกล้มเจ้า ซึ่งเมื่อพิจารณาในแง่ของฐานเสียงกันแล้วอีกฝ่ายก็ไม่เอาคนของพรรคก้าวไกลอยู่แล้ว ดังนั้นในซีกของคนที่ไม่เอาเผด็จการสืบทอดอำนาจจึงมีเพียง 2 ตัวเลือก อยู่ที่ว่าน้ำหนักจะเทไปทางใคร ซึ่งแน่นอนว่ามาถึงนาทีนี้ส่วนใหญ่จะไปเลือกชัชชาติ ส่วนฝ่ายไม่เอาทักษิณหรือพวกหนุนเผด็จการสืบทอดอำนาจ คำถามสำคัญคือจะรวบรวมเสียงให้เป็นหนึ่งเดียวเพื่อเลือกผู้สมัครแค่ 1 คนได้อย่างไร
ในเมื่อตัวเลือกมีถึง 4 ไม่ว่าจะเป็น สุชัชวีร์ สุวรรณสวัสดิ์ จากประชาธิปัตย์ พลตำรวจเอกอัศวิน ขวัญเมือง, สกลธี ภัททิยกุล และ รสนา โตสิตระกูล ซึ่งสามรายหลังประกาศตัวเป็นผู้สมัครอิสระ แต่ก็รับรู้กันอยู่ว่ามีใคร กลุ่มไหนที่ให้การหนุนหลัง ชัดเจนเป็นอย่างยิ่งว่าพวกที่สนับสนุนทั้งคนที่เปิดหน้าและพวกเล่นบทอีแอบต้องการให้ฝ่ายตัวเองได้รับชัยชนะ จึงพากันดาหน้าออกมาเรียกร้องให้คนที่อยู่ข้างเดียวกันช่วยเทคะแนนให้ใครคนใดคนหนึ่งเพื่อเอาชนะอีกฝ่าย
ทว่าคำถามที่สำคัญคือ บรรดาคนที่ได้ชื่อว่าเคยเป็นแกนนำม็อบนั้นยังมีพลังมากพอที่จะสั่งให้ประชาชนที่เคยสนับสนุนไปเลือกคนที่ตัวเองอยากให้ชนะได้อีกอย่างนั้นหรือ แม้กระทั่งผู้นำเผด็จการสืบทอดอำนาจเอง น่าจะเข้าใจคำว่าขาลงมากกว่าใครเพื่อน ขณะเดียวกันอย่าลืมเป็นอันขาดว่าตลอดระยะเวลาเกือบ 8 ปีที่เผด็จการคสช.ยึดอำนาจและบริหารเรื่อยมานั้น คนกรุงเทพฯ เน้นไปที่พวกที่ร่วมเป่านกหวีดได้รับรู้กันแล้วว่ามันทำให้ตัวเองอยู่ดีกินดี ทำมาหากินได้ดีกว่าเดิมหรือลำบากยากจนลง
ด้วยเหตุนี้ สิ่งหนึ่งที่ทำให้คนซึ่งยังไม่ตัดสินใจจะเลือกใครแต่มีคำตอบอยู่ในใจแล้ว กำลังเฝ้าดูท่วงทำนองของชัชชาติในห้วงเวลาที่เหลือว่าจะหลงไปเล่นตามเกมของฝ่ายที่เล่นงานไม่เลิกหรือไม่ ถ้าไม่แยแสไร้การสาดโคลนกลับ ก็จะทำให้คนเหล่านั้นตัดสินใจได้ทันที จนถึงวันนี้สิ่งที่พวกกองแช่งต้องการจะให้เกิดก็ยังไม่เห็น ไม่มีการโต้กลับ ไม่มีการกล่าวหาให้ร้ายใคร เจ้าตัวยังคงมุ่งมั่นกับการหาเสียงในรูปแบบที่ตัวเองคิดว่ามันคือความเปลี่ยนแปลง
สิ่งหนึ่งที่ทำไห้ได้ใจคนรุ่นเก่าคือการชูแนวทางทำกรุงเทพฯ ให้เป็น “นพรัตน์ราชธานี” และ “อุดมราชนิเวศน์มหาสถาน” เป็นการมองขาดเข้าใจและเข้าถึงความเป็นมาในอดีต และจะนำพาเมืองหลวงแห่งนี้ไปสู่อนาคตตามจุดมุ่งหมายนับตั้งแต่ตั้งกรุงเทพฯ ขึ้นมา ยิ่งมีการเน้นนโยบาย 9 ด้าน 9 ดี พร้อมอีก 200 นโยบายที่เริ่มทำได้ทันที และประกาศจะเป็นผู้ว่าฯ เที่ยงคืนจนยันสว่าง เพื่อกระตุ้นเศรษฐกิจดูแลชีวิตคนกลางคืน แล้วหันไปมองสิ่งที่คู่แข่งผู้มีพวกหนุนหลังทำ มันช่างต่างกันลิบลับ