“ปิโตรเลียม แมน” นามคุรุจิตขี่พายุ ทะลุฟ้า

สมแล้วกับการเป็นบุตรชายคนโตของบุพการีทั้ง 2 ท่าน ซึ่งต่างก็มีคำนำหน้าเป็นศาสตราจารย์ด้วยกันทั้งคู่


สมแล้วกับการเป็นบุตรชายคนโตของบุพการีทั้ง 2 ท่าน ซึ่งต่างก็มีคำนำหน้าเป็นศาสตราจารย์ด้วยกันทั้งคู่

นั่นก็คือ ศาสตราจารย์ ดร.อรรถ นาครทรรพ และ ศาสตราจารย์ฐะปะนีย์ (ณ ถลาง) นาครทรรพ

จึงไม่เป็นเรื่องแปลกอะไรเลยนะครับ ที่วิศวกรอย่างดร.คุรุจิต นาครทรรพ จะเป็นคนเจ้าบทเจ้ากลอนคนหนึ่ง

เรื่องยากๆ แต่อธิบายได้เข้าใจง่าย นั่นก็ใช่เขาเลยล่ะ ดร.คุรุจิต

จากความฝันเริ่มต้นจะเป็นวิศวะไฟฟ้า กลับกลายมาเป็นวิศวะปิโตรเลียม และประเทศชาติก็โชคดีมากนะครับ ที่ได้ข้าราชการผู้ซื่อสัตย์ ใสสะอาด ฉลาดเฉลียว กอปรทั้งความรอบรู้เรื่องปิโตรเลียมอย่างเป็นเลิศ

รู้ดี แล้วยังถ่ายทอดให้คนฟังได้ดีอีกต่างหาก

ผมรู้จักชื่อเสียงของดร.คุรุจิต ก่อนจะได้พบปะตัวจริงในชั้นเรียนวิทยาลัยพลังงาน (วพน.1) ร่วมรุ่นกันซะอีก

งานเลี้ยงสังสรรค์ครั้งใด ใครก็แย่งไมค์ร้องเพลงกับดร.คุรุจิตไม่ทันสักที

ครับ ท่านเป็นคนร่าเริงมาก มองโลกในแง่ดี แม้เป็นเรื่องร้าย ผิดกับชื่อเสียงกิตติศัพท์ที่ได้รับฉายา ”อาจารย์ใหญ่” เป็นอันมาก

ผมเองก็ได้รับความรู้เรื่องปิโตรเลียมและพลังงานจากคุรุหรือกูรูท่านนี้อย่างมากหลาย

ดร.คุรุจิต ดำรงตำแหน่งปลัดกระทรวงพลังงานเพียงแค่ 5 เดือน อาจจะดูน้อยไปนิด แต่หากคิดในอีกแง่มุมหนึ่ง ก็อาจจะได้ข้อสรุปว่า นั่นแหละ “สวรรค์มีตา”

ผมรู้สึกจริงๆ ว่า ดร.คุรุจิต เป็นปลัดกระทรวงพลังงานมายาวนาน ไม่ใช่แค่ 5 เดือนเท่านั้น เพราะท่านเป็นคนที่ถึงพร้อมทั้งการทำและพูด

ความกล้าหาญอย่างมีจริยธรรม นี่ก็ใช่สเป็กเขาเลยล่ะ

ดร.คุรุจิต กล้าต่อกรกับกลุ่มคนที่มีอวิชชาครอบงำจิตใจในเรื่องพลังงานได้อย่างถึงพริกถึงขิง

อวิชชาที่ว่านั้นก็ได้แก่ ประเทศไทยเป็นแหล่งปิโตรเลียมมีปริมาณสำรองสูงในระดับโลก

แต่ความจริงนี้กลับถูกปกปิดเอาไว้ เพื่อผลประโยชน์ของกลุ่มอิทธิพลไม่กี่กลุ่ม และประชาชนก็ต้องบริโภคน้ำมันและก๊าซในราคาแพง

น้ำมันและก๊าซที่ขุดได้กลางทะเล ก็ยังมีการลักลอบเอาไปขายฝรั่ง

เรื่องอย่างนี้ ก็ยังเอามามโนและปลุกระดมกันได้ มันจะต้องใช้เรือเป็นกองคาราวานขนน้ำมันกี่ร้อยกี่พันลำกันล่ะ และจะทำกันได้โดยไม่มีใครรู้เห็นเชียวหรือ

นอกจากนั้น ก็ยังมีอวิชชาในเรื่องของระบบแบ่งปันผลผลิตดีกว่าระบบสัมปทาน ซึ่งทำให้ประเทศไทยเสียเปรียบต่างชาติมาช้านาน

บทสรุปเช่นนี้ก็มาจากตรรกะว่า ไทยเป็นประเทศรวยน้ำมันและก๊าซ โดยไม่ต้องพึ่งพาการนำเข้าจากต่างประเทศนั่นแหละ

เรื่องอะไรจะกินน้ำใต้ศอกในระบบสัมปทานอีกต่อไป ใครไม่เห็นด้วยกับระบบแบ่งปันผลผลิต เป็นพวกขายชาติ ไม่รักษาผลประโยชน์ของชาติ

ดร.คุรุจิตก็มีวิธีอธิบายเรื่องนี้ให้สาธารณะได้เข้าใจว่าเรามาเถียงกันในเรื่องที่ไม่ควรเถียง เพราะเรื่องสำคัญกว่าที่ควรจะเถียงคือ ประเทศเรายังเหลือก๊าซให้ใช้อยู่หรือเปล่า

เพราะถ้าไม่มีก๊าซ จะใช้ระบบอะไรก็ไม่มีประโยชน์

คำตอบมีอยู่ในตัวจากกรณีเปิดสัมปทานปิโตรเลียมรอบใหม่ รอบที่ 21 มันก็คือพื้นที่ที่ผ่านการเอ็กซ์เรย์สำรวจมาแล้ว 20 รอบนั่นแหละ หาใช่แหล่งใหม่ซิงๆ ที่มโนเอาว่า จะมีแหล่งปิโตรเลียมมหาศาลแต่อย่างใดไม่

ถ้าจะเจอแหล่งใหญ่ปิโตรเลียม มันก็คงจะเจอไปแล้ว และก็ไม่ต้องมานั่งมโนกันต่อถึงการเปลี่ยนระบบมาเป็นแบ่งปันผลผลิต

ดร.คุรุจิต เป็นครูผู้ให้วิชาความรู้อย่างไม่เหน็ดเหนื่อย เวลาต้องต่อสู้กับอวิชชาต่างๆ ไม่ว่าเวทีไหน ก็ไม่ใช้วิธีประชดประชันเสียดสี แต่จะใช้ความเมตตา ค่อยๆ ชี้แจงด้วยองค์ความรู้อย่างเป็นรูปธรรม

อ่านหนังสือพลังงานกับชีวิต ที่พิมพ์แจกในรูปเล่มสวยสดเนื่องในโอกาสต้องอำลาชีวิตราชการ ทำให้เกิดความรู้สึกยอมรับนับถือข้าราชการที่ซื่อสัตย์ มากฝีมือเยี่ยงดร.คุรุจิต นาครทรรพมากขึ้น

เสียดายที่มิได้พิมพ์จำหน่ายเพื่อเผยแพร่ในโลกกว้าง  

Back to top button