พาราสาวะถี
ประสาคนที่ห้ามใครมาวิจารณ์ ใครจะมาข้ามหน้าข้ามตา เก่งกว่าตัวเองไม่ได้ จึงไม่แปลกที่จะได้ยินผู้นำเผด็จการสืบทอดอำนาจ
ประสาคนที่ห้ามใครมาวิจารณ์ ใครจะมาข้ามหน้าข้ามตา เก่งกว่าตัวเองไม่ได้ จึงไม่แปลกที่จะได้ยินผู้นำเผด็จการสืบทอดอำนาจ ย้ำเรื่องผลการเลือกตั้งผู้ว่าฯ กทม.เป็นแค่เสียงของประชาชนแค่จังหวัดหนึ่งเท่านั้น ไม่ใช่เสียงสะท้อน แรงกดดันหรือสัญญาณการเสื่อมศรัทธาในตัวท่านผู้นำและขบวนการสืบทอดอำนาจ ขานรับจากบรรดาลิ่วล้อสอพลอทั้งหลาย คะแนนที่ ชัชชาติ สิทธิพันธุ์ ได้มาอย่านำมาโจมตีหรือประจานว่าเป็นการลงโทษของประชาชนต่อฝ่ายกุมอำนาจโทษฐานไร้ผลงาน
เชื่อกันแบบไหน หรือจะปลอบใจตัวเองกันไปแบบนี้ก็เอาที่สบายใจ ถึงขนาดที่พูดเองเออเองว่าเสียงที่คนกรุงเทพฯ มอบให้ชัชชาตินั้นไม่ใช่แลนด์สไลด์ ก็เพราะมีนักการเมืองประเภทนี้อยู่ข้างกายจึงไม่แปลกที่ผู้นำเผด็จการสืบทอดอำนาจจะเหลิงและหลงในอำนาจที่ตัวเองมี ถึงขนาดที่กล้าประกาศว่าประเทศนี้ถ้าตนต้องพ้นไปจากตำแหน่ง ก็หาใครที่เป็นคนดีคนเก่งมาแทนไม่ได้ คงต้องถามคนไทยทั้งประเทศผ่านการเลือกตั้งครั้งหน้านั่นแหละ ยังไว้วางใจที่จะให้ทำหน้าที่ต่อไปหรือไม่
อย่างที่ ณัฐวุฒิ ใสยเกื้อ แกนนำเครือข่ายไล่ประยุทธ์ (อ.ห.ต.) ที่โพสต์อธิบายถึงผลการเลือกตั้งผู้ว่าฯ กทม.ที่ออกมาในมุมที่ว่า ยุทธการเดิม ๆ ไม่เลือกเราเขามาแน่กลายเป็นกระแสมุมกลับคนเมืองหลวงแห่แหนไปเทคะแนนให้ชัชชาติ เพราะกลัวจะแพ้ขบวนการสืบทอดอำนาจ สำคัญเหนืออื่นใด สัญญาณที่ส่งผ่านการเลือกตั้งรอบนี้เครือข่ายอำนาจที่อุ้มรัฐบาลอยู่ คิดเยอะ ๆ คิดดี ๆ จะให้คนชื่อประยุทธ์ไปต่อหรือพอแค่นี้ อย่าท้าทายศรัทธาประชาชน
เป็นจริงตามนั้น ในวันที่ศรัทธาพุ่งไม่ว่าผู้นำเผด็จการสืบทอดอำนาจจะพูดอะไรก็พากันเชื่อไปหมด ขนาดว่าจะคืนความสุขให้แล้วทำไม่ได้คนก็ยังไม่หือไม่อือ หรือแม้แต่การโกหกว่าจะเลือกตั้งหลายหนนับตั้งแต่ปี 2558 จนมาเลือกได้ในปี 2562 คนก็ยังมองว่าดีแล้วรอให้ประเทศชาติสงบเรียบร้อยก่อน สุดท้ายแม้แต่พวกที่หลับหูหลับตาเชียร์มาวันนี้ถึงกับน้ำท่วมปาก เมื่อทุกอย่างเงียบสงบจริง โดยเฉพาะเศรษฐกิจที่สงัดจนทำให้จำนวนคนจนพุ่งพรวดไปมากกว่า 20 ล้านคน
อย่างไรก็ตาม บรรดากองเชียร์สุดโต่งนั้นทันทีทันใดที่ชัชชาติคว้าชัยชนะ ก็พากันออกมาเรียกร้องให้ว่าที่ผู้ว่าฯ กทม.เร่งสางปมหนี้สินของกทม.กับภาคเอกชน ทั้งที่ความจริงเจ้าตัวยังไม่ได้รับการรับรองจากกกต. และยังต้องมีกระบวนการก่อนที่จะเข้าทำงาน เรียกว่าดักคอกันตั้งแต่ไก่โห่ แต่เรื่องนี้ก็พอจะเข้าใจได้ เพราะผลสะเทือนจากการเลือกตั้งที่จบลงไม่ใช่เกิดขึ้นกับฝ่ายสืบทอดอำนาจเท่านั้น หากแต่หุ้นของเอกชนบางบริษัทก็พาลได้รับผลกระทบตามไปด้วย
จะว่าไปแล้วการต่ออายุสัมปทานของรถไฟฟ้าสายสีเขียวที่เป็นปัญหา พ่วงด้วยเรื่องหนี้สินกองโตนั้น ถ้าย้อนกลับไปดูสิ่งที่ชัชชาติได้ตอบคำถามของสื่อมวลชน เจ้าตัวไม่ได้บอกว่าไม่มีนโยบายที่จะไม่ต่อสัญญา หากแต่ให้ปฏิบัติตามกฎหมายว่าด้วยการร่วมทุน คือเมื่อสัญญาสัมปทานสิ้นสุดลงก็ต้องประมูลกันใหม่ ในอัตราค่าโดยสารใหม่ เพื่อลดภาระของประชาชน ส่วนในกรณีหนี้ที่เกิดขึ้น หากเกิดจากการสั่งให้เดินรถไปก่อน ย่อมเป็นการไม่ชอบด้วยกฎหมาย หนี้นั้นย่อมไม่ผูกพันกรุงเทพมหานคร
กรณีนี้ไม่ได้เป็นปัญหาสำหรับชัชชาติ เพราะหลังจากเข้ารับตำแหน่งก็ต้องตั้งคณะกรรมการขึ้นมาเพื่อดำเนินการ มุมคิดซึ่งคนโดยทั่วไปไม่ต้องอาศัยนักกฎหมายมาช่วยตีความก็คิดกันได้ หากหนี้ที่กทม.ถูกเรียกร้องและฟ้องร้องให้ชำระเกิดขึ้นโดยชอบด้วยกฎหมาย ทางกทม.ก็ต้องหาทางเจรจาชำระ ไม่สามารถที่จะเบี้ยวได้อย่างแน่นอน แต่หากเป็นหนี้ที่เกิดขึ้นโดยไม่ชอบด้วยกฎหมาย กทม.ก็ไม่มีหน้าที่ต้องชำระหนี้ ประเด็นแบบนี้ไงที่ทำให้รัฐมนตรีของพรรคภูมิใจไทยถึงไม่ร่วมสังฆกรรมเมื่อมีการพิจารณาประเด็นเรื่องต่อสัญญาในที่ประชุมครม.
ปัญหาข้อกฎหมายนั้นหากยึดตามกรอบทุกอย่างก็จะมีความชัดเจน ไม่จำเป็นต้องอาศัยศรีธนญชัยทางกฎหมายมาช่วยหาช่องทางเพื่อเลี่ยงบาลีกัน แต่สิ่งที่กลายเป็นปัญหายักตื้นติดกึกยักลึกติดกักก็คือ ปมผลประโยชน์ที่ผู้นำเผด็จการสืบทอดอำนาจประกาศปาว ๆ ไม่มีเรื่องทุจริตไม่โปร่งใสสำหรับคนอย่างตน ต้องไปสแกนกันให้ละเอียดด้วยว่า สิ่งที่คาราคาซังกันอยู่นั้นมันเป็นเรื่องของอะไรกันแน่ ปมปัญหามันเกิดจากความไม่รอบคอบทางกฎหมาย หรือการลักไก่ อาศัยช่องทางพิเศษที่คิดว่าไม่มีใครกล้าตรวจสอบ ขัดขา พอเวลาเปลี่ยน สถานการณ์เปลี่ยน มันจึงวกกลับมามัดคอตัวเอง
ความจริงหลังจากอำนาจเบ็ดเสร็จเด็ดขาดถูกตัดไปแล้ว บรรดาที่ปรึกษาในการใช้กลไกทางกฎหมายต่อผู้นำเผด็จการสืบทอดอำนาจต้องกลับไปไล่เรียงดูเรื่องต่าง ๆ ที่เคยใช้อำนาจพิเศษแล้วปลายทางจะเป็นปัญหาควรรีบสะสาง หรือไม่ก็ต้องปล่อยให้มันค้างไว้แบบนั้นเพื่อรอกระบวนการแก้ไขกฎหมายให้ทุกอย่างเกิดความโปร่งใส ตรวจสอบและชี้แจงต่อประชาชนได้ แต่เมื่อเลือกที่จะดันทุรังและเชื่อมั่นในกลไกและองคาพยพที่วางไว้ค้ำยันการสืบทอดอำนาจ มันจึงต้องเผชิญกับความยุ่งยากอย่างที่เป็นอยู่
สถานการณ์ทางการเมืองเปลี่ยนไปขนาดไหน ถ้าเข้าใจสิ่งที่ประชาชนสื่อก็จะรับรู้ได้จากวาจาแสดงความยินดีต่อชัชชาติของหัวหน้าพรรคการเมืองทั้งหลาย ต่างเข้าใจว่าอนาคตหลังการเลือกตั้งนั้นมีความเป็นไปได้สูงที่จะไม่เหมือนเดิม ถ้ายังเดินเกมการเมืองเหมือนคราวก่อนเลือกตั้งปี 2562 มีสิทธิที่จะสูญพันธุ์กันได้ แม้ว่าบางพรรคจะดูดคนของอีกฝ่ายที่มั่นใจว่าลงสมัครครั้งหน้าได้รับเลือกแน่ แต่บริบทที่เห็นไม่ได้เป็นเช่นนั้น คนที่ลำบากจากความไร้ประสิทธิภาพในการบริหารประเทศกำลังรอวันลงโทษพร้อมกันทั้งประเทศ
ด้วยเหตุนี้ความพ่ายแพ้ไม่เฉพาะต่อการเลือกตั้งผู้ว่าฯ กทม. แต่รวมไปถึงผลของการเลือกส.ก.ด้วยนั้น จึงทำให้พี่ใหญ่แก๊ง 3 ป.ถึงกับกุมขมับ คำถามที่ว่าพรรคสืบทอดอำนาจจะต้องปรับแก้ไขอะไรหรือไม่กับคำตอบ “จะไปรู้ได้อย่างไร คุณบอกผมหน่อยสิ” ไม่ใช่เป็นเพียงแค่อารมณ์โมโหหรือการยียวนนักข่าว หากแต่เป็นความหงุดหงิดจากการปราชัยแบบหมดรูปที่ไม่คิดว่าจะเป็นไปถึงเพียงนี้ ที่สำคัญคือสัมพันธ์ของแก๊ง 3 ป.ที่ไม่เหมือนเดิม มันจึงเหมือนการนับถอยหลัง ดีที่ว่าพี่ใหญ่ยังมีทางเลือกเพราะเป็นนักการเมืองเต็มตัวที่สามารถเปลี่ยนแปลงจับมือใครก็ได้หลังเลือกตั้งหนหน้า แต่น้องรักทั้งสองคนอาการน่าเป็นห่วง