จัดกลยุทธ์ลงทุนมิ.ย. เคาะ 13 หุ้นธีม Defensive เน้น 3 กลุ่มเด่น “รพ.-ค้าปลีก-โรงไฟฟ้า”
จัดกลยุทธ์ลงทุนมิ.ย. เคาะ 13 หุ้นธีม Defensive เน้น 3 กลุ่มเด่น “รพ.-ค้าปลีก-โรงไฟฟ้า” รับ SET ผันผวน-รอผลประชุมเฟด
นายณัฐชาต เมฆมาสิน ผู้ช่วยกรรมการผู้จัดการ ฝ่ายวิเคราะห์หลักทรัพย์ บล.ทรีนีตี้ เปิดเผยว่า ทิศทางดัชนีตลาดหุ้นไทย (SET Index) ในเดือนมิ.ย.65 คาดว่าจะแกว่งตัว Sideways อิงทางลง โดยมีกรอบแนวรับสำคัญที่บริเวณ 1,600-1,620 จุด โดยยังคงมุมมองว่าดัชนีที่อยู่สูงเกินกว่า 1,650 จุด ขึ้นไปถือเป็นโซนเปราะบางในแง่ของ Valuation โดยเฉพาะมาตรวัด Earning yield gap (EYG) ที่ยังคงต่ำกว่าค่าเฉลี่ยพอสมควร
โดยในเชิงกลยุทธ์ แนะ Wait & See หลังขายทำกำไรไปแล้ว ให้รอการตั้งรับใหม่ตามบริเวณกรอบแนวรับ หรืออาจรอให้ Bond yield สหรัฐฯ 10 ปีลงมาแถวบริเวณ 2.5% เสียก่อน เนื่องจากจะทำให้ Earning Yield Gap (EYP) ของตลาดหุ้นไทยดูดีขึ้น
นายณัฐชาต กล่าวว่า สินทรัพย์หนึ่งที่น่าสนใจในเดือนนี้คือพันธบัตร โดยเฉพาะอย่างยิ่งพันธบัตรระยะยาวที่มักจะเป็นสินทรัพย์ที่สามารถ Hedging ต่อความเสี่ยงเศรษฐกิจชะลอตัวได้เป็นอย่างดี ซึ่งเราประเมินว่าจะมี Probability มากขึ้นหากราคาพลังงานและราคาอาหารในตลาดโลกยังคงอยู่สูงเช่นนี้ต่อไป
ที่สำคัญเราเริ่มเห็นว่าตัวเลขเงินเฟ้อที่ประกาศออกมาสูงในแต่ละประเทศ เริ่มไม่ได้ยึดเหนี่ยวคาดการณ์เงินเฟ้อในอนาคตให้ปรับตัวสูงขึ้นแล้ว จึงมอง Upside ของ Bond yield ในช่วงถัดไปค่อนข้างจำกัดแล้ว นอกจากนั้น Earning yield gap ของตลาดหุ้นหลายๆประเทศตอนนี้ก็ยังอยู่ค่อนข้างต่ำ บ่งชี้ถึงความน่าสนใจของ Bond เมื่อเทียบกับหุ้นได้เป็นอย่างดี
ส่วนในรายของตัวหุ้นนั้น หากต้องเลือกลงทุนยังคงแนะถือครองหุ้นกลุ่ม Defensive ต่อไป ไม่ว่าจะเป็น 1. กลุ่มโรงพยาบาล ( Healthcare) อาทิ บริษัท กรุงเทพดุสิตเวชการ จำกัด(มหาชน) หรือ BDMS, บริษัท บางกอก เชน ฮอสปิทอล จำกัด (มหาชน) หรือ BCH , บริษัท โรงพยาบาลจุฬารัตน์ จำกัด (มหาชน) หรือ CHG, บริษัท โรงพยาบาลอินเตอร์เมดิคัล แคร์ แอนด์ แล็บ จำกัด (มหาชน) หรือ IMH
2.กลุ่มค้าปลีก(Consumer Staples) ได้แก่ บริษัท ซีพี ออลล์ จำกัด (มหาชน) หรือ CPALL, บริษัท สยามแม็คโคร จำกัด (มหาชน) หรือ MAKRO, บริษัท เบอร์ลี่ ยุคเกอร์ จำกัด (มหาชน) หรือ BJC
3.กลุ่มสาธารณูปโภค(Utilities) ได้แก่ บริษัท ผลิตไฟฟ้า จำกัด (มหาชน) หรือ EGCO, บริษัท ราช กรุ๊ป จำกัด (มหาชน) หรือ RATCH ,บริษัท จัดการและพัฒนาทรัพยากรน้ำภาคตะวันออก จำกัด (มหาชน) หรือ EASTW, บริษัท ดับบลิวเอชเอ ยูทิลิตี้ส์ แอนด์ พาวเวอร์ จำกัด (มหาชน) หรือ WHAUP,บริษัท บ้านปู เพาเวอร์ จำกัด (มหาชน) หรือ BPP, บริษัท ซีเค พาวเวอร์ จำกัด (มหาชน) หรือ CKP
โดยเริ่มชื่นชอบกลุ่ม Utilities มากขึ้น จากการมีคุณลักษณะคล้ายคลึงกับพันธบัตร (Bond-like) ค่อนข้างมาก ซึ่งคาดว่าจะเป็นสินทรัพย์ที่ Outperform ในช่วงถัดไป นอกจากนั้น หุ้นอีกกลุ่มที่น่าจะได้อานิสงส์หาก Bond yield ในช่วงถัดไปทยอยปรับลง ก็คือกลุ่ม Property Fund,REIT, Infrastructure fund ซึ่งมองว่าค่อนข้างมีความมั่นคงในสภาวะที่เศรษฐกิจมีความเสี่ยงสูงขึ้นด้วยเช่นกัน ด้วยเหตุนี้ แนะนำจัดสรรน้ำหนักในพอร์ตโฟลิโอไปยังสินทรัพย์เหล่านี้มากขึ้นได้
สำหรับปัจจัยที่ทุกคนเฝ้าติดตามในเดือนนี้คงหนีไม่พ้นการประชุมของธนาคารกลางสำคัญต่างๆ รวมถึงไทย ซึ่งจากการประเมินของเรา เชื่อว่าจะไม่มีผลกระทบต่อราคาสินทรัพย์มากนัก เนื่องจากก่อนหน้านี้ นักลงทุนได้ Price in แนวนโยบายการเงินที่เข้มงวดไปอย่างมากแล้ว
โดยเฉพาะธนาคารกลางสหรัฐ (เฟด) ที่นักลงทุนมีการ Price in ประเด็นการขึ้นดอกเบี้ยครั้งละ 50bps ไปยัง 3 ครั้ง การประชุมข้างหน้าแล้ว รวมไปถึงประเด็นการลดขนาดงบดุลด้วยเช่นกัน
ส่วนทางฝั่งคณะกรรมการนโยบายการเงิน (กนง.) ที่จะมีการประชุมกันในวันที่ 8 มิ.ย.คาดว่าจะยังคงแสดงจุดยืนคงนโยบายดอกเบี้ยต่ำต่อไป แต่แนะติดตามประมาณการเศรษฐกิจรอบใหม่ว่าจะมีการปรับลดลงอีกครั้งหรือไม่ โดยเฉพาะภาคอุปสงค์ในประเทศและดุลบัญชีเดินสะพัด หลังราคาน้ำมันยังคงยืนอยู่ในระดับสูง