ชิงจังหวะเก็ง BDMS-BH หุ้นหลบภัย! หลังเงินเฟ้อโลกหวนกดดันตลาด
BDMS-BH หุ้นหลบภัย! หลังเงินเฟ้อโลกหวนกดดันตลาด ฟากโบรกฯเชียร์ “ซื้อ” คาดว่าผู้ป่วยต่างประเทศจะกลับมาคึกคัก รับประโยชน์ภาครัฐประกาศยกเลิกมาตรการเดินทางเข้าประเทศ พร้อมชูอัพไซด์สูง
ผู้สื่อข่าวรายงานว่า ตัวเลขอัตราเงินเฟ้อเพิ่มขึ้นสูงมากอย่างรวดเร็วเมื่อเทียบกับช่วงที่ฐานต่ำเพราะการระบาดของโควิด-19 ประกอบกับมีปัจจัยหลักมาจากราคาพลังงานที่เพิ่มขึ้นมา อย่างสัญญาน้ำมันดิบ WTI ล่าสุดอยู่ที่ 116.87 ดอลลาร์/บาร์เรล แต่หากดูจากต้นปีถึงปัจจุบันปรับตัวขึ้น 54.18% ส่วนสัญญาน้ำมันดิบ BRENT ล่าสุดอยู่ที่ 117.61 ดอลลาร์/บาร์เรล หากดูจากต้นปีถึงปัจจุบันปรับตัวขึ้น 51.21% ในขณะที่ราคาแก๊สนั้นก็เพิ่มขึ้นเช่นกัน
โดยไม่เพียงแต่ราคาพลังงานเท่านั้นที่ปรับเพิ่มขึ้นมาก แต่ราคาอาหารก็ทยอยเพิ่มขึ้นด้วยและที่สำคัญเริ่มมีการขาดแคลนสินค้าหลายประเทศพร้อมประกาศระงับการส่งออก
สอดคล้องกับบทวิเคราะห์ทางวิชาการโดยใช้ข้อมูลระยะยาวหลายแหล่ง จะให้บทสรุปที่ตรงกันว่าเมื่อใดที่อัตราเงินเฟ้ออยู่ในระดับที่ค่อนข้างสูง ตลาดหุ้นมีแนวโน้มที่จะให้อัตราผลตอบแทนเทียบกับสินทรัพย์ที่มีความมั่นคงปลอดภัยในระดับที่ต่ำกว่า โดย Jim Masturzo และ Michele Mazzoleni แห่ง Research Affiliates ได้แสดงความสัมพันธ์ระหว่างส่วนต่างอัตราผลตอบแทนของหุ้นสหรัฐฯ กับอัตราผลตอบแทนของตั๋วเงินคลังสหรัฐฯ อายุ 1 เดือน (Equity Premium) ณ ระดับอัตราเงินเฟ้อต่างๆ ตั้งแต่พ.ศ. 2491 – 2563 พบว่าเมื่ออัตราเงินเฟ้ออยู่ในระดับสูงส่วนต่างอัตราผลตอบแทนจากหุ้นจะอยู่ในระดับต่ำ
ทั้งนี้ เนื่องจากเงินเฟ้อที่สูงขึ้นนี้จะทำให้บริษัทต่างๆ มีต้นทุนที่สูงขึ้น ซึ่งต้นทุนเหล่านี้อาจไม่สามารถส่งผ่านไปให้กับลูกค้าได้ทั้งหมด เพราะอาจทำให้ยอดขายลดลง ส่งผลให้ผลประกอบการแย่ลงได้ นอกจากนี้ ต้นทุนทางการเงินก็จะสูงขึ้นด้วย เนื่องจากธนาคารกลางมักจะเพิ่มอัตราดอกเบี้ยนโยบายเพื่อควบคุมอัตราเงินเฟ้อไม่ให้เร่งตัวขึ้นกว่าเดิม นี่จึงเป็นเหตุผลสำคัญที่ตลาดเริ่มที่จะแตกตื่นกับตัวเลขเงินเฟ้อที่สูงขึ้นมากและเร็วกว่าที่คาด
อย่างช่วงก่อนหน้ากระทรวงแรงงานสหรัฐเปิดเผยว่า ดัชนีราคาผู้บริโภค (CPI) ซึ่งเป็นมาตรวัดเงินเฟ้อจากการใช้จ่ายของผู้บริโภค พุ่งขึ้น 8.3% ในเดือนเม.ย. 2565 เมื่อเทียบรายปี สูงกว่าที่นักวิเคราะห์คาดการณ์ที่ระดับ 8.1%
ด้านนักวิเคราะห์จากบริษัทเอฟเอชเอ็น ไฟแนนเชียล กล่าวว่า ตัวเลขเงินเฟ้อของสหรัฐพุ่งขึ้นรวดเร็วกว่าที่คาดการณ์ไว้ ซึ่งจะเปิดทางให้เฟดใช้เป็นเหตุผลในการปรับขึ้นดอกเบี้ยเร็วขึ้นและรุนแรงขึ้น โดยก่อนหน้านี้เฟดส่งสัญญาณว่าจะปรับขึ้นดอกเบี้ย 0.50% ในการประชุมเดือนมิ.ย. 2565 แต่ตัวเลขเงินเฟ้อที่พุ่งขึ้นอย่างรวดเร็วอาจทำให้เฟดปรับขึ้นดอกเบี้ยแรงถึง 0.75% ในการประชุมเดือนดังกล่าว
ทั้งนี้ ยังมีปัจจัยกดดันรุมเร้าตลาดหุ้นต่อเนื่องในสัปดาห์หน้าระหว่างวันที่ 6-10 มิ.ย. 2565 โดยมีประเด็นจากจีนประกาศตัวเลข PMI ดัชนีผู้จัดการฝ่ายจัดซื้อที่ระดับ 49.60 จุด ซึ่งน้อยกว่าค่าระดับมาตรฐานที่ 50 จุด เมื่อวันที่ 31 พ.ค. 2565 ที่ผ่านมา ต่อเนื่องประเด็นเรื่องเฟดเริ่มทำ QT จำนวน 4.75 หมื่นล้านเหรียญต่อเดือน เริ่มตั้งแต่วันที่ 1 มิ.ย. 2565 และไปอีก 3 เดือน จากนั้นจะปรับเป็น 9.5 หมื่นล้านเหรียญต่อเดือน
นอกจากนี้มีประเด็น EBC จะมีการประชุมวันที่ 9 มิ.ย. 2565 คาดการณ์ว่าจะขึ้นดอกเบี้ยครั้งแรกในรอบ 10 ปี จากตัวเลขเงินเฟ้อล่าสุด 7.5% ซึ่งส่อระงับโครงการซื้อพันบัตร พร้อมขึ้นดอกเบี้ย 0.25% ตามทิศทางของเฟด และมีประเด็นสหรัฐเตรียมรายงานเงินเฟ้อรอบเดือนพ.ค.ในวันที่ 10 มิ.ย. 2565 หลังจากก่อนหน้าเงินเฟ้อช่วงเม.ย. 2565 อยู่ที่ 4.9% ส่วนเดือนมี.ค. 2565 อยู่ที่ 5.2% และประเด็นว่าเฟดจะมีการประชุม FOMC ในวันที่ 14-15 มิ.ย. 2565 คาดการณ์ว่าขึ้นดอกเบี้ยอีก 0.50% หรือมากกว่า
ดังนั้นเมื่อมีหลายปัจจัยเข้ามากดดันโดยเฉพาะเงินเฟ้อของสหรัฐพุ่งขึ้นรวดเร็วส่อให้เศรษฐกิจถดถอยยิ่งเร่งให้เฟดใช้ยาแรงขึ้นอัตราดอกเบี้ยสกัดจึงทำให้ตลาดหุ้นกลับมากังวลอีกครั้ง โดยดัชนีตลาดหุ้นไทย SET Index ( 2 มิ.ย. 2565) ปิดที่ระดับ 1,647.67 จุด ลบไป 12.34 จุด ด้วยมูลค่าการซื้อขาย 5.79 หมื่นล้านบาท
ทว่าหากย้อนไปดูความเคลื่อนไหวของ SET Index ช่วงเดือนพ.ค. 2565 ในช่วงปรับฐานระหว่างวันที่ 5-13 พ.ค. 2565 พบว่า ณ วันที่ 5 พ.ค. 2565 ดัชนีปิดที่ระดับ 1,643.30 จุด แล้วค่อยๆอ่อนตัวลงจนมาถึงวันที่ 13 พ.ค. 2565 ดัชนีปิดที่ระดับ 1,584.38 จุด ปรับตัวลงไป 3.59%
อย่างไรก็ตามช่วงดังกล่าวที่มีความกังวลตัวเลขเงินเฟ้อพุ่งขึ้นมากกับพบหุ้นกลุ่มโรงพยาบาลวิ่งสวนตลาดเพราะถือเป็นหุ้นปลอดภัย อย่างเช่นตัว บริษัท โรงพยาบาลบำรุงราษฎร์ จำกัด (มหาชน) หรือ BH โดย ณ วันที่ 5 พ.ค. 2565 ราคาหุ้นปิดที่ระดับ 161.50 บาท แล้วค่อยๆปรับตัวขึ้นต่อเนื่องจนมาถึงวันที่ 13 พ.ค. 2565 ราคาหุ้นปิดที่ระดับ 172.00 บาท บวกไป 10.50 บาท หรือขึ้นไป 6.50%
สอดคล้องกับปัจจัยพื้นฐาน พร้อมโบรกฯต่างเชียร์ “ซื้อ” BH ระบุว่า ผลประกอบการปี 2565 จะเติบโตโดดเด่นที่สุดในกลุ่ม เพราะมีสัดส่วนลูกค้าต่างชาติสูงกว่าบริษัทอื่น รับประโยชน์ภาครัฐประกาศยกเลิกมาตรการเดินทางเข้าประเทศผ่านระบบ Test&Go และคาดว่ากำไรจะโตแรงในช่วงครึ่งหลังของปี 2565 เนื่องจากเป็นช่วง High Season ของผู้ป่วยต่างชาติ ประกอบกับมีฐานกำไรที่ต่ำในช่วงไตรมาส 3/2564
นอกจากนี้ยังมี Upside จากผู้ป่วยชาวซาอุดิอาระเบีย หลังฟื้นความสัมพันธ์ทางการทูตในรอบ 30 ปี อีกทั้งในปีนี้ BH จะมีโรงพยาบาลท้องถิ่นที่เป็นพันธมิตร 10 แห่ง เพื่อดำเนินการศูนย์ความเป็นเลิศในการรักษาเฉพาะทาง (CoE) ซึ่งน่าจะเป็นแหล่งรายได้และการเติบโตของกำไรในระยะยาว
ขณะที่เข้าไปสำรวจบทวิเคราะห์ประเมินต่อ BH ทั้งหมด 14 แห่ง พบว่า 9 แห่ง แนะนำ “ซื้อ” และอีก 5 แห่ง แนะนำ “ถือ” ส่งผลให้ราคาเป้าหมายเฉลี่ย 181 บาท ส่วนบริษัทหลักทรัพย์ให้ราคาเป้าหมายสูงสุดกลายเป็น บล. ฟินันเซีย ไซรัส ให้ราคาเป้าหมาย 205 บาท หากเทียบกับราคาหุ้น 173.50 บาท ยังมีอัพไซด์ 18.16%
รวมทั้ง บริษัท กรุงเทพดุสิตเวชการ จำกัด (มหาชน) หรือ BDMS โดย ณ วันที่ 5 พ.ค. 2565 ราคาหุ้นปิดที่ระดับ 24.90 บาท แล้วค่อยๆปรับตัวขึ้นต่อเนื่องจนมาถึงวันที่ 13 พ.ค. 2565 ราคาหุ้นปิดที่ระดับ 27.00 บาท บวกไป 2.10 บาท หรือขึ้นไป 8.43%
สอดคล้องกับปัจจัยพื้นฐาน พร้อมโบรกฯต่างเชียร์ “ซื้อ” BDMS ระบุว่า กำไรไตรมาส 1/2565 ออกมาดีกว่าคาดรับปัจจัยหนุนจากผู้ป่วยกลุ่ม Non-covid ทั้งในประเทศและต่างประเทศที่มีการเติบโตได้ค่อนข้างมากโดยเฉพาะกลุ่มผู้ป่วยจากตะวันออกกลาง
นอกจากนี้คาดว่าผู้ป่วยจากต่างประเทศจะกลับมามากขึ้นในกลุ่มโรคซับซ้อน และโรคเรื้อรังที่เข้ามารักษา หลังจากที่ประเทศไทยได้เริ่มเปิดประเทศ และได้ยกเลิกระบบ Thailand Pass จะเข้ามาชดเชยจำนวนผู้ป่วยจากการระบาดของเชื้อไวรัสโควิด-19 ที่คลี่คลายลงแต่ช่วงไตรมาส 2/2565
อีกทั้ง BDMS ยังร่วมทุนกับ บริษัท คอมเซเว่น จำกัด (มหาชน) หรือ COM7 เพื่อเปิดร้านขายยาขนาดใหญ่รูปแบบ Stand Alone ซึ่งมี Health care Products ทุกประเภท ตามศูนย์การค้า ซึ่งตั้งเป้าเปิดสาขาแรกในช่วงไตรมาส 4/2565 และมีแผนเปิด 50 สาขาภายใน 5 ปี
ขณะที่เข้าไปสำรวจบทวิเคราะห์ประเมินต่อ BDMS ทั้งหมด 18 แห่ง พบว่า 15 แห่ง แนะนำ “ซื้อ” และอีก 3 แห่ง แนะนำ “ถือ” ส่งผลให้ราคาเป้าหมายเฉลี่ย 29.17 บาท ส่วนบริษัทหลักทรัพย์ให้ราคาเป้าหมายสูงสุดกลายเป็น บล. ฟินันเซีย ไซรัส และบล.เคทีบีเอสที ให้ราคาเป้าหมาย 31 บาท หากเทียบกับราคาหุ้น 25.75 บาท ยังมีอัพไซด์ 20.39%