พาราสาวะถี

คำถามสำคัญสำหรับคนที่ได้ชื่อว่านักการเมืองเมื่อเลือกที่จะไลฟ์สด หรือใช้สื่อโซเซียลต่าง ๆ ก็คือ มีใจที่เปิดกว้างพร้อมจะเปิดรับฟังความเห็นที่มาจากทุกทิศทุกทางหรือไม่


ถูกแล้วที่ทีมกระบอกเสียงของผู้นำเผด็จการสืบทอดอำนาจ ยืนยันว่าการไลฟ์สดในการไปเป็นประธานเปิดท่าเรือท่าช้าง-สาทรเมื่อวันพุธที่ผ่านมาของท่านผู้นำไม่ใช่ทำเป็นครั้งแรก ไม่ใช่ต้องการแย่งชิงพื้นที่ข่าวหรือเลียนแบบ ชัชชาติ สิทธิพันธุ์ ผู้ว่าฯกทม. ที่ตั้งแต่หลังการเลือกตั้งมีการไลฟ์สดติดตามการทำงานหรือจะเรียกว่าเป็นการเกาะติดชีวิตประจำวันกันเลยทีเดียว เพราะสังคมยุคนี้ทุกคนมีสิทธิที่จะนำเสนอทุกเรื่องราวผ่านทุกช่องทางโซเซียลมีเดียที่มี

คำถามสำคัญสำหรับคนที่ได้ชื่อว่านักการเมืองเมื่อเลือกที่จะไลฟ์สด หรือใช้สื่อโซเซียลต่าง ๆ ก็คือ มีใจที่เปิดกว้างพร้อมจะเปิดรับฟังความเห็นที่มาจากทุกทิศทุกทางหรือไม่ ไม่ใช่ว่าไปปิดคอมเมนต์เพราะรับไม่ได้กับการที่ถูกด่า ตรงนี้ต่างหากคือหัวใจสำคัญที่ไม่ต้องไปกล่าวหาว่าใครเลียนแบบใคร ในเมื่อทุกคนมีสิทธิที่จะนำเสนอ มันก็อยู่ที่ผู้ติดตามว่าจะมากจะน้อยและชื่นชอบ ชื่นชม หรือก่นด่ากันขนาดไหน สิ่งที่เป็นตัวชี้วัดความสำเร็จของการไลฟ์สดก็คือ คนที่เข้ามาติดตามมาแบบปกติเหมือนคนทั่วไป หรือเป็นพวกไอโอคอยปั่นกระแสกันแน่

มากไปกว่านั้นข้อเปรียบเทียบที่เห็นเด่นชัดในการที่จะให้ทีมที่ปรึกษาด้านการสื่อสารของผู้นำเผด็จการสืบทอดอำนาจต้องไปขบคิดกันให้หนักว่าจะไลฟ์สด เพื่อหวังแย่งพื้นที่ข่าวกับชัชชาติจริงหรือ นั่นก็คือ บรรยากาศของการลงพื้นที่และผู้คนที่มาคอยต้อนรับ ภาษาของคนในโลกออนไลน์คือความเรียล ทุกอย่างเป็นไปอย่างธรรมชาติ ไม่มีการจัดฉาก มวลชนจัดตั้ง แค่เท่านี้ก็ทำให้เห็นความต่างระหว่างทั้งสองคนแล้ว ยังไม่นับรวมเรื่องภาพของบริวารแวดล้อม การรักษาความปลอดภัยที่ต่างกันอย่างสิ้นเชิง

เมื่อรู้อยู่แล้วว่าข้อด้อยมีมากกว่าส่วนดี จึงไม่จำเป็นที่จะต้องไปทำตาม หรือจะอ้างว่าทำมาโดยตลอดอยู่แล้ว มันก็น่าจะขัดกับความรู้สึกของประชาชนที่ว่าแล้วทำไมไม่เป็นที่รับรู้ในวงกว้าง ทั้งหมดนี้มันขึ้นอยู่กับผลงาน ตลอดระยะเวลากว่า 8 ปีผู้นำเผด็จการสืบทอดอำนาจย่อมรู้อยู่แก่ใจดี วันแรกหลังการรัฐประหารกับห้วงเวลาที่อยู่ในอำนาจแบบเบ็ดเสร็จ และหลังจากผ่านการเลือกตั้งเมื่อปี 2562 มาแล้ว กระแสและความนิยมของประชาชนที่มีต่อตัวเองนั้นเป็นอย่างไร

สิ่งที่น่าจะทำให้ผู้นำเผด็จการสืบทอดอำนาจหงุดหงิด ส่งผลพลอยให้ลิ่วล้อสอพลอทั้งหลายตั้งหาวิธีการที่จะเอาใจนายเพื่อให้เกิดความสบายใจ ที่เป็นผลสืบเนื่องมาจากปรากฏการณ์ชัชชาติก็คือ การไลฟ์สดทุกครั้งเวลาที่พบปะกับประชาชน มักจะมีเสียงสะท้อนถึงความทุกข์ใจ ทุกข์ยากที่พบเจอกันมากว่า 8 ปี บางรายถึงขั้นบอกว่าขอบคุณที่จะมาช่วยให้คนกรุงเทพฯมีชีวิตที่ดีขึ้นหลังจากติดคุกมานานถึง 8 ปี นี่คงไม่ใช่สิ่งที่ชัชชาติอยากได้ยิน แต่มันความความจริงที่ประชาชนขอระบายกับตัวแทนที่พวกตนได้เลือกมากับมือ

อย่างไรก็ตาม ช่วง 3-4 วันนี้น่าจะทำให้ผู้นำเผด็จการสืบทอดอำนาจอารมณ์ดีได้ เพราะผู้ว่าฯกทม.ได้ลาราชการไปงานรับปริญญาลูกชายสุดที่รักที่สหรัฐอเมริกา จะกลับมาทำงานอีกทีก็วันจันทร์ที่ 13 มิถุนายนนี้ แต่ก็อาจจะไม่เป็นเช่นนั้น เพราะผู้ว่าฯกทม.ก็บอกก่อนขึ้นเครื่องว่าจะพยายามไลฟ์สดมาจากสหรัฐฯอยู่เหมือนกัน หากเป็นแบบนั้นมันยิ่งทำให้น่าโมโหกันหนักเข้าไปอีก เพราะอีกคนถึงกับบ่นแค่อ่านหนังสือบนเครื่องบินยังถูกด่า ถ้าอีกคนไปงานรับปริญญาลูกแล้วไลฟ์สดโชว์วิสัยทัศน์และมีเสียงเยินยอมันจะไปกันใหญ่

หากเป็นนักการเมืองอาชีพและไม่ยึดติดกับหัวโขนที่ว่าข้ามาจากอำนาจที่ใครก็แตะต้องไม่ได้ ก็จะต้องหาหนทางในการกอบกู้ความนิยมให้กลับมา ที่ดีที่สุดคือการเร่งสร้างผลงานให้เป็นที่ประจักษ์ไม่ต้องทวงบุญคุณต่อการเสียสละที่ทำการรัฐประหาร หรือนำไปเปรียบเทียบกับรัฐบาลที่ตัวเองยึดอำนาจเข้ามา ต้องบอกให้ได้ว่าสิ่งที่ทำอยู่เวลานี้จะส่งผลดีต่อประชาชนในระยะเวลาอันใกล้นี้อย่างไร มีวิธีการแก้ไขปัญหาที่กระทบต่อการใช้ชีวิตของประชาชนขณะนี้อย่างไร

โดยเฉพาะปัญหาราคาน้ำมันแพง การตะบี้ตะบันอ้างว่าเป็นเรื่องของกลไกในตลาดโลกมันก็แค่ส่วนหนึ่ง เพราะผลกระทบที่เกิดขึ้นกับประชาชนไปเต็ม ๆ มันไม่ได้รอให้ราคาน้ำมันลดตามกลไก ไม่ว่าจะข้าวของราคาแพง ค่าโดยสารยานพาหนะทุกประเภทก็ประกาศขึ้นราคา เหล่านี้คือภาระที่กระทบต่อต้นทุนชีวิตของประชาชน คนหาเช้าวันนี้ไม่มีจะกินถึงค่ำอีกแล้ว การท่องคาถาว่าทุกอย่างต้องใช้งบประมาณ ถ้ารอแต่กลไกราชการเพียงอย่างเดียวมันก็คงแก้ไม่ทันปัญหา

การแสวงหาความร่วมมือ การมองหาช่องทางที่จะมาช่วยลดภาระของประชาชนมันต้องแข็งขันมากกว่านี้ ยิ่งโครงการที่เคยอ้างว่าเป็นสุดยอดมหานิยมของประชาชนอย่างคนละครึ่งที่ให้คนรอเฟส 5 มาจนเลิกหวังกันไปแล้วนั้น มันยิ่งสะท้อนให้เห็นถึงความอับจนหนทางของรัฐบาล เท่ากับเป็นการทำให้อารมณ์ความรู้สึกของผู้คนที่อยากจะเห็นการเปลี่ยนแปลงเพิ่มมากขึ้นเรื่อย ๆ เช่นนี้แล้วจะไปเที่ยวโทษว่าเป็นความผิดของฝ่ายตรงข้ามที่เอาแต่เล่นการเมือง จ้องจะล้มรัฐบาลอย่างนั้นหรือ

ไม่เพียงเท่านั้น บรรดาพวกไอโอที่เอาแต่ก้มหน้าก้มตาทำลายฝ่ายตรงข้าม โดยไม่เงยหน้ามองว่าคนส่วนใหญ่ไม่ได้กินหญ้านั้น ก็ควรที่จะเลิกใช้งานหรือไล่กลับกรม กองไปทำงานที่เป็นประโยชน์ต่อบ้านเมืองได้แล้ว เหมือนกรณีการปั่นกระแสกล่าวหาชัชชาติว่าเคลมผลงานของผู้ว่าฯกทม.ลากตั้งที่เพิ่งพ่ายแพ้เลือกตั้งไป ยิ่งทำให้เห็นประสิทธิภาพในการเลือกใช้คน นี่ขนาดชัชชาติยังไม่มีผลงานอะไรยังกลัวกันขนาดนี้ ถ้าได้ลงมือทำแล้วผลงานปรากฏจะเล่นกันแรงขนาดไหน

ความจริงการมาของชัชชาติคงไม่สร้างความน่ากลัวใด ๆ ต่อผู้นำเผด็จการสืบทอดอำนาจและลิ่วล้อทั้งหลาย หากตลอดระยะเวลากว่า 8 ปีที่ผ่านมาด้วยขนาดของงาน งบประมาณ ระหว่างความเป็นหัวหน้ารัฐบาลกับผู้ว่าฯกทม.ก็เห็นความต่างอย่างชัดเจนแล้ว ไม่ต้องพูดถึงอำนาจยิ่งก่อนเลือกตั้งม.44ที่มีพลานุภาพที่มีผลต่อปมสัมปทานรถไฟฟ้าสายสีเขียวด้วยนั้น ถ้าทำให้ประชาชนรู้สึกว่าอยู่ดี กินดี มีอนาคตคงไม่ต้องมาออกอาการขาสั่น ทุรนทุรายเหมือนทุกวันนี้ นอกจากคำชมไม่มีแล้วคนยังด่ากันทั่วบ้านทั่วเมืองอีกต่างหาก

Back to top button