SET เปิดเช้ารูด 21 จุด หวั่น “เฟด” อัดยาแรงขึ้นดบ. 0.75% สกัดเงินเฟ้อ
SET เปิดเช้ารูด 21 จุด หวั่น “เฟด” ขึ้นดบ. 0.75% สกัดเงินเฟ้อที่พุ่ง 8.6% สูงสุดรอบ 40 ปี และสูงกว่าตลาดคาด ให้แนวต้าน 1,640 จุด แนวรับ 1,620-1,610 จุด
ผู้สื่อข่าวรายงานว่า ดัชนีตลาดหุ้นไทย ณ เวลา 10:00 น. อยู่ที่ 1,611.19 จุด ลดลง 21.43 จุด หรือ 1.31% สูงสุดที่ 1,612.67 จุด ต่ำสุดที่ 1,610.66 จุด มูลค่าการซื้อขาย 4.71 พันล้านบาท
นายเทิดศักดิ์ ทวีธีระธรรม รองกรรมการผู้อำนวยการ สายงานวิจัย บล.เอเซีย พลัส กล่าวว่า แนวโน้มตลาดหุ้นไทยวันนี้คาดว่าปรับตัวลงตามทิศทางตลาดหุ้นต่างประเทศ หลังจากเมื่อคืนวันศุกร์ที่ผ่านมาตัวเลขเงินเฟ้อสหรัฐฯเดือนพ.ค.สูงขึ้นมาที่ 8.6% เป็นระดับสูงสุดครั้งใหม่ในรอบกว่า 40 ปี และสูงกว่าตลาดคาด ส่งผลกดดันต่อ sentiment ภาพรวมของตลาดหุ้น และในสัปดาห์นี้จะมีการประชุมธนาคารกลางสหรัฐฯ (เฟด) ทำให้ตลาดมีความกังวลเกี่ยวกับการดำเนินนโยบายการเงินของสหรัฐฯมีโอกาสเข้มงวดมากขึ้น โดยเฉพาะการเร่งขึ้นดอกเบี้ยมากกว่า 0.50% เพื่อควบคุมเงินเฟ้อ ซึ่งเป็นปัจจัยหลักที่กดดันตลาดในวันนี้ โดยให้แนวต้าน 1,640 จุด แนวรับ 1,620-1,610 จุด
นายมงคล พ่วงเภตรา ผู้ช่วยกรรมการผู้จัดการ บล.เคทีบีเอสที กล่าวว่า หลังสหรัฐฯรายงานตัวเลขภาวะเงินเฟ้อสูงกว่าคาด ทำให้คาดกันว่าเฟดอาจจะปรับขึ้นดอกเบี้ยนโยบายในสัปดาห์นี้ ที่ระดับ 0.75% จากเดิมที่ประมาณการกันไว้ 0.50% และน่าจะส่งผลต่อตลาดหลักทรัพย์ในวันนี้ (13 มิ.ย.) โดยดัชนี จะปรับลงต่อเนื่องจากสัปดาห์ก่อน แต่ไม่ถึงกับแพนิก เนื่องจากนักลงทุนได้รับรู้และระวังไว้แล้วด้วยการปรับพอร์ตมาก่อนหน้านี้ ซึ่งคาดว่า ดัชนีจะไม่หลุด 1,600 จุด สำหรับกลุ่มหุ้นที่ต้องระวังแรงขายจากภาวะเงินเฟ้อที่สูง และเงินบาทอ่อนค่า ทำให้นักลงทุนต่างประเทศปรับพอร์ตขายหุ้นออกมา
ทั้งนี้พบว่านับจากต้นปี หุ้น 5 อันดับแรกที่ต่างชาติซื้อมากสุด และน่าจะมีความเสี่ยงที่ถูกขายออกมา นำโดย PTTEP,KBANK,ADVANC,PTT และ CPALL รวมถึงกลุ่มโรงพยาบาล BDMS และ BCH ส่วนกลุ่มปิโตรเคมี นำโดย PTTGC และ SCC สอดคล้องกับมุมมองของนายกรภัทร วรเชษฐ์ ผู้อำนวยการฝ่ายวิจัย และบริการการลงทุน
ขณะเดียวกันบริษัทหลักทรัพย์ โนมูระ พัฒนสิน ระบุว่า เงินเฟ้อของสหรัฐฯที่สูงกว่าคาดการณ์ อาจนำมาสู่สัญญาณการใช้นโยบายการเงินที่เข้มงวดขึ้นของเฟดในการประชุมสัปดาห์นี้ โดยแนะนำให้ลดน้ำหนักในตลาดหุ้นไทย และมาทยอยซื้ออีกครั้ง ที่บริเวณดัชนี 1,610 – 1,590 จุด และบริเวณ 1,570 – 1,550 จุด หรือเมื่อมีปัจจัยบวกใหม่เข้ามา อาทิ 1.กลุ่มได้ประโยชน์จากเงินบาทอ่อนค่า GFPT,CPF,SAPPE,ASIAN,KCE ,2.กลุ่มประกัน BLA และ TIPH และ 3.กลุ่ม High Growth แนะนำ JMT และ JMART