“ตู่” แบเบอร์! วอน “โรงกลั่น” ลดราคา เหตุมีกฎหมายคุ้ม ได้แค่ขอความร่วมมือ
จับตาราคาหุ้นกลุ่ม “โรงกลั่น” เด้งกลับระยะสั้นภาคบ่าย หลัง “ตู่” รับสภาพลด “ค่าการกลั่น” ยาก เหตุมีกฎหมายคุ้มครอง ได้แค่ขอความร่วมมือ รับรัฐบังคับหรือแทรกแซงได้ไม่เต็มที่
พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงกลาโหม เปิดเผยว่า ได้รายงานจากนายสุพัฒนพงษ์ พันธ์มีเชาวน์ รองนายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงพลังงานว่า ได้ขอความร่วมมือโรงกลั่นไปแล้วในการลดค่าการกลั่นน้ำมัน เพื่อช่วยบรรเทาภาระด้านพลังงานให้กับประชาชน
พล.อ.ประยุทธ์ ยังย้ำว่า การหาทางลดราคาน้ำมันเชื้อเพลิงในประเทศ รัฐบาลได้ดำเนินการไปเยอะมากแล้ว ทั้งการลดภาษีสรรพสามิต และการให้กองทุนน้ำมันเชื้อเพลิง เข้ามาพยุงราคาน้ำมัน เหลือแต่ในส่วนของราคาการกลั่น ซึ่งมีกฎหมายคุ้มครองอยู่ รัฐบาลจึงได้ขอความร่วมมือไป
อย่างไรก็ตาม รัฐบาลยืนยันว่า รัฐบาลทำทุกอย่างเต็มที่ในกรอบที่สามารถดำเนินการได้ และพยายามดูแลหลายมิติ ทั้งค่าน้ำค่าไฟ ค่าก๊าซ แม้ค่าใช้จ่ายเพิ่มขึ้น ต้องหาเงินมาเสริม มากน้อยก็ต้องทำ
โดยก่อนหน้านี้ นายสุพัฒนพงษ์ พันธ์มีเชาว์ รองนายกรัฐมนตรี และรัฐมนตรีว่าการกระทรวงพลังงาน ได้ออกมาระบุว่า อยู่ระหว่างการพิจารณาที่จะเข้าแทรกแซงค่าการกลั่นโดยอาจปรับลดค่าการกลั่นลง เพื่อลดราคาขายน้ำมันดีเซลและกลุ่มเบนซิน ที่หน้าสถานีบริการน้ำมัน เนื่องจากขณะนี้ค่าการกลั่นอยู่ ในระดับ 20 เหรียญสหรัฐต่อบาร์เรล ซึ่งโรงกลั่นน้ำมันมีกำไรสูง
ขณะเดียวกันนายบัณฑิต ธรรมประจำจิต ประธานกลุ่มอุตสาหกรรมโรงกลั่นน้ำมันปิโตรเลียม สภาอุตสาหกรรมแห่งประเทศไทย (ส.อ.ท.) กล่าวว่า ในความเป็นจริงค่าการกลั่นไม่ได้คำนวณจากส่วนต่างราคาของน้ำมันเบนซินและดีเซลเทียบกับราคาน้ำมันดิบอ้างอิงเท่านั้น แต่ต้องนำส่วนต่างราคาเฉลี่ยของน้ำมันสำเร็จรูปทุกชนิดตามสัดส่วนการผลิต (%Yield) ที่โรงกลั่นผลิตได้ ซึ่งรวมถึงก๊าซหุงต้ม หรือน้ำมันเตาที่มีราคาต่ำกว่าราคาน้ำมันดิบมาคำนวณรวมทั้งหมดเทียบกับราคาน้ำมันดิบที่ซื้อจริง ซึ่งรวมค่า Crude Premium และค่าใช้จ่ายในการขนส่งจากแหล่งผลิตมายังประเทศไทย เช่น ค่าขนส่ง น้ำมันดิบทางเรือ ค่าประกันภัย เป็นต้น รวมถึงต้องหักลบต้นทุนค่าพลังงานความร้อน ค่าน้ำ และค่าไฟ ที่ใช้ในการกลั่นอีกด้วย
สำหรับราคาหุ้นกลุ่มโรงกลั่นมีการปรับตัวลดลงตั้งแต่เกิดประเด็นดังกล่าว โดยเมื่อวันศุกร์ (10 มิ.ย.2565) จนถึงวันนี้ (13 มิ.ย.2565) ยังคงปรับตัวลงต่อเนื่อง นำโดยบริษัท สตาร์ ปิโตรเลียม รีไฟน์นิ่ง จำกัด (มหาชน) หรือ SPRC ปิดภาคเช้าอยู่ที่ระดับ 12.50 บาท ลบไป 0.50 บาท หรือลงไป 3.85% อย่างไรก็ดีเป็นการลบช่วงลบหลังจากราคาหุ้นระหว่างวันลงไปต่ำสุดที่ระดับ 12.00 บาท ขณะที่ทำจุดสูงสุดที่ระดับ 12.80 บาท ด้วยมูลค่าการซื้อขาย 522.08 ล้านบาท หากย้อนกลับไปดูราคาหุ้นเริ่มปรับตัวลงมาตั้งแต่วันศุกร์จนถึงถึงปัจจุบันไปแล้ว 6.02%
ด้านราคาหุ้น บริษัท เอสโซ่ (ประเทศไทย) จำกัด (มหาชน) หรือ ESSO ปิดภาคเช้าอยู่ที่ระดับ 11.90 บาท ลบไป 0.30 บาท หรือลงไป 2.46% อย่างไรก็ดีเป็นการลบช่วงลบหลังจากราคาหุ้นระหว่างวันลงไปต่ำสุดที่ระดับ 11.50 บาท ขณะที่ทำจุดสูงสุดที่ระดับ 11.90 บาท ด้วยมูลค่าการซื้อขาย 242.30 ล้านบาท หากย้อนกลับไปดูราคาหุ้นเริ่มปรับตัวลงมาตั้งแต่วันศุกร์จนถึงถึงปัจจุบันไปแล้ว 0.83%
บริษัท ไทยออยล์ จำกัด (มหาชน) หรือ TOP ปิดภาคเช้าอยู่ที่ระดับ 52.50 บาท ลบไป 4.25 บาท หรือ 7.49% อย่างไรก็ดีเป็นการลบช่วงลบหลังจากราคาหุ้นระหว่างวันลงไปต่ำสุดที่ระดับ 52.25 บาท ขณะที่ทำจุดสูงสุดที่ระดับ 55.50 บาท ด้วยมูลค่าการซื้อขาย 2.04 พันล้านบาท หากย้อนกลับไปดูราคาหุ้นเริ่มปรับตัวลงมาตั้งแต่วันศุกร์จนถึงถึงปัจจุบันไปแล้ว 13.58%
บริษัท บางจาก คอร์ปอเรชั่น จำกัด (มหาชน) หรือ BCP ปิดภาคเช้าอยู่ที่ระดับ 31.75 บาท ลบไป 2.50 บาท หรือลงไป 7.30% อย่างไรก็ดีเป็นการลบช่วงลบหลังจากราคาหุ้นระหว่างวันลงไปต่ำสุดที่ระดับ 31.50 บาท ขณะที่ทำจุดสูงสุดที่ระดับ 33.00 บาท ด้วยมูลค่าการซื้อขาย 484.05 ล้านบาท หากย้อนกลับไปดูราคาหุ้นเริ่มปรับตัวลงมาตั้งแต่วันศุกร์จนถึงถึงปัจจุบันไปแล้ว 9.29%
บริษัท ไออาร์พีซี จำกัด (มหาชน) หรือ IRPC ปิดภาคเช้าอยู่ที่ระดับ 3.38 บาท ลบไป 0.12 บาท หรือลงไป 3.43% อย่างไรก็ดีเป็นการลบช่วงลบหลังจากราคาหุ้นระหว่างวันลงไปต่ำสุดที่ระดับ 3.36 บาท ขณะที่ทำจุดสูงสุดที่ระดับ 3.44 บาท ด้วยมูลค่าการซื้อขาย 277.70 ล้านบาท หากย้อนกลับไปดูราคาหุ้นเริ่มปรับตัวลงมาตั้งแต่วันศุกร์จนถึงถึงปัจจุบันไปแล้ว 6.11%
บริษัท พีทีที โกลบอล เคมิคอล จำกัด (มหาชน) หรือ PTTGC ปิดภาคเช้าอยู่ที่ระดับ 45.75 บาท ลบไป 1.50 บาท หรือลงไป 3.17% อย่างไรก็ดีเป็นการลบช่วงลบหลังจากราคาหุ้นระหว่างวันลงไปต่ำสุดที่ระดับ 45.25 บาท ขณะที่ทำจุดสูงสุดที่ระดับ 46.25 บาท ด้วยมูลค่าการซื้อขาย 544.30 ล้านบาท หากย้อนกลับไปดูราคาหุ้นเริ่มปรับตัวลงมาตั้งแต่วันศุกร์จนถึงถึงปัจจุบันไปแล้ว 6.15%