ดักเก็บ 5 หุ้นโรงไฟฟ้า! รับ “กกพ.” จ่อขึ้น “Ft” ทะลุ 40 สตางค์ ชู BGRIM-GPSC ท็อปพิก
ดักเก็บ 5 หุ้นโรงไฟฟ้า! รับอานิสงส์ “กกพ.” จ่อขึ้นค่า “Ft” งวดก.ย.-ธ.ค.65 ทะลุ 0.40 บาทต่อหน่วย ชดเชยต้นทุนก๊าชธรรมชาตสูง ชู BGRIM-GPSC ท็อปพิก! กวาดกำไรครึ่งปีหลังโตเด่น
ผู้สื่อข่าวรายงานว่า จากกรณีนายคมกฤช ตันตระวาณิชย์ เลขาธิการสำนักงานคณะกรรมการกำกับกิจการพลังงาน (กกพ.) ในฐานะโฆษก กกพ. กล่าวในการปาฐกถา “ไขข้อข้องใจ รับมือค่าไฟครึ่งปีหลัง”เมื่อวันที่ 17 มิ.ย.ที่ผ่านมาว่า แนวโน้มการปรับค่าไฟฟ้าผันแปร (ค่า Ft) งวดสุดท้ายของปีนี้ (ก.ย.-ธ.ค.65) มีโอกาสปรับสูงขึ้นกว่าประมาณการเดิมที่คาดว่าจะปรับขึ้นราว 40 สต./หน่วย เนื่องจากได้รับผลกระทบจากค่าเงินบาท และ สัดส่วนการผลิตไฟฟ้าด้วยก๊าซเพิ่มสูงขึ้น
ทั้งนี้สถานการณ์ราคาก๊าซธรรมชาติปรับตัวสูงขึ้น โดยเฉพาราคา LNG สูงขึ้นอย่างมาก ส่งผลกระทบต่อต้นทุนค่าไฟฟ้า เนื่องจากประเทศไทยใช้ก๊าซเป็นเชื้อเพลิงในการผลิตไฟฟ้าเป็นส่วนใหญ่ ประกอบกับกำลังการผลิตก๊าซธรรมชาติจากอ่าวไทยลดลง และการรับก๊าซฯจากเมียนมามีแนวโน้มลดลง อีกทั้งเงินบาทอ่อนค่าลงอย่างมากในขณะนี้
ดังนั้นแนวโน้มการปรับค่า Ft งวดสุดท้ายของปีนี้มีโอกาสปรับสูงขึ้นจากที่เคยคาดการณ้ไว้เดิมเนื่องจากสัดส่วนการใช้ LNG เข้ามาผลิตไฟฟ้าเพิ่มขึ้นเป็นกว่า 40% จากเดิมคาดว่าจะใช้ LNG ประมาณ 30% หลังจากราคาดีเซลปรับสูงขึ้นมาก แต่การปรับขึ้นค่า Ft งวดสุดท้ายของปีจะเป็นเท่าใดนั้น ยังต้องรอประเมินสถานการณ์ค่าเชื้อเพลิงที่แท้จริงอีกครั้งในช่วงกลางเดือน มิ.ย.นี้ ยังไม่รวมกับภาระที่การไฟฟ้าฝ่ายผลิตแห่งประเทศไทย(กฟผ.) แบกรับไว้อีกกว่า 80,000 ล้านบาท
จากประเด็นดังกล่าวนักวิเคราะห์คาดหุ้นกลุ่มโรงไฟฟ้าจะได้ประโยชน์ ดังนั้น “ข่าวหุ้นธุรกิจออนไลน์” จึงทำการรวบรวมหุ้นที่คาดว่าจะได้ประโยชน์มานำเสนอ โดยอ้างอิงข้อมูลจากบทวิเคราะห์ บริษัทหลักทรัพย์ที่ปรึกษาการลงทุน เอฟเอสเอส อินเตอร์เนชั่นแนล จำกัด หรือ FSSIA และบล.โนมูระ พัฒนสิน มานำเสนอดังนี้
นายสุวัฒน์ สินสาฎก กรรมการผู้จัดการ บริษัทหลักทรัพย์ที่ปรึกษาการลงทุน เอฟเอสเอส อินเตอร์เนชั่นแนล จำกัด หรือ FSSIA ระบุในบทวิเคราะห์(6 มิ.ย.2565) ว่า การขึ้นค่า Ft จะเป็นแสงสว่างที่ปลายอุโมงค์ให้กับหุ้นโรงไฟฟ้าที่เผชิญกับต้นทุนก๊าซสูง หากคณะกรรมการกำกับกิจการพลังงาน (กกพ.) วางแผนที่จะขึ้นค่า Ft ที่ 0.4 บาทต่อกิโลวัตต์/ชั่วโมง สำหรับเดือน ก.ย. ถึง ธ.ค. 2565 เพื่อชดเชยต้นทุนค่าไฟที่กฟผ.แบกรับ 3.89 หมื่นล้านบาทของช่วง 8 เดือนแรกในปี 2565
ทั้งนี้ทาง กกพ. ได้มีการปรับขึ้นค่า Ft ไปแล้ว 0.167 บาทต่อกิโลวัตต์/ชั่วโมง ในช่วงเดือน ม.ค.- เม.ย. 2565 และ 0.2338 บาทต่อกิโลวัตต์/ชั่วโมง ในช่วงเดือน พ.ค. – ส.ค. 2565 หลังจากที่ไม่มีการขึ้นค่า Ft มาตลอดปี 2565 เพื่อบรรเทาค่าครองชีพให้กับประชาชนในช่วงสถานการณ์โควิด-19 ที่ทำให้เศรษฐกิจต้องหยุดลง
สำหรับ FSSIA มีมุมมองเชิงบวกต่อการขึ้นค่า Ft ครั้งนี้เนื่องจากสูงกว่าที่ตลาดคาดไว้ที่ 0.30-0.35 บาทต่อกิโลวัตต์/ชั่วโมง โดยตั้งแต่ไตรมาส 3/2564 เป็นต้นมาราคาต้นทุนก๊าซในประเทศไทยสูงขึ้นอย่างเห็นได้ชัดกว่าสองเท่าจนแตะ 440 บาทต่อกิโลวัตต์/ชั่วโมง ในไตรมาส 1/2565 ซึ่งเป็นผลกระทบมาจากการนำเข้าก๊าซ LNG ในราคาที่สูงกว่า 38 ดอลลาร์/mmbtu จากการขาดแคลนก๊าซจากแหล่งเอราวัณ และการรุกรานของรัสเซียในยูเครนเมื่อเดือน ก.พ. ที่ผ่านมา ซึ่งเป็นผู้ประกอบการ SPP ทั้งหมด
โดยเฉพาะ บริษัท บี.กริม เพาเวอร์ จำกัด (มหาชน) หรือ BGRIM และ บริษัท โกลบอล เพาเวอร์ ซินเนอร์ยี่ จำกัด (มหาชน) หรือ GPSC ต้องเผชิญกับความไม่เท่าเทียมกันของอัตราการเก็บค่าไฟในกลุ่มผู้ใช้ทางอุตสาหกรรม ซึ่งเป็นราคาที่เชื่อมตรงกับโครงข่ายอัตราไฟฟ้าแห่งชาติ และค่า Ft โดย FSSIA คาดว่าจะมีการขึ้นค่า Ft เพิ่มในเดือน ม.ค. ถึง เม.ย. 2566 ซึ่งจะอยู่ในระดับที่สูงตลอดทั้งปี และยังคงมองว่าราคาน้ำมัน ก๊าซ และถ่านหินจะยังคงสูงตลอดปีด้วยเช่นกัน
ทั้งนี้ จากต้นทุนพลังงานสำหรับโรงไฟฟ้าที่จะยังคงสูงอยู่ในครึ่งปีหลัง 2565-2566 จากความเสี่ยงด้านซัพพลาย ในขณะที่ความต้องการยังคงเพิ่มขึ้น FSSIA เชื่อว่าการขึ้นค่า Ft นั้นเป็นทางออกของเหล่า SPP ต่อมาร์จิ้นขายไฟให้กับกลุ่มผู้ใช้ทางอุตสาหกรรม และการคาดการณ์ของ FSSIA ที่มองว่าต้นทุนก๊าซจะยังสูงไม่เปลี่ยนแปลงในครึ่งปีหลัง 2565 และจะปรับลดลงในปี 2566 จากกำลังการผลิตเพิ่มเข้ามาในตลาดของแหล่งเอราวัณ และบงกช ที่จะมีต้นทุนที่ถูกกว่าปัจจุบันราว 20-30% ทำให้ FSSIA มองว่าการขึ้นค่า Ft รวมทั้งหมด 0.8 บาทต่อกิโลวัตต์/ชั่วโมง ( (0.1671+0.2338+0.40) บาทต่อกิโลวัตต์/ชั่วโมง) จะช่วยเพิ่มกำไรสุทธิให้กับ BGRIM ได้ 1.4 พันล้านบาท และ GPSC ราว 1.5 พันล้านบาท
นอกจากนี้ FSSIA มองว่า BGRIM เป็นหุ้นเด่นสุดในกลุ่มโรงไฟฟ้าของไทยในไตรมาส 2/2565 จากมาร์จิ้นของ SPP ที่ปรับตัวเพิ่มขึ้นอย่างมีนัยยะจากการขึ้นค่า Ft นอกจากนั้นแล้วยังมีการเติบโตของกำไรจาก 5 โรงไฟฟ้าสตาร์ทอัพภายใต้สัญญาซื้อขายไฟฟ้าฉบับใหม่ฉบับทดแทนในครึ่งปีหลัง 2565 และการเติบโตของกำลังการผลิตจาก PDP ของเวียดนาม ซึ่งเมื่อเทียบกับ GPSC ที่ถึงจะมีอัพไซด์ด้านมาร์จิ้นจากการขึ้นค่า Ft แล้ว ส่วนกำไรในปี 2565 จะยังคงถูกต้นทุนกดดันจากราคาถ่านหินที่สูงขึ้น และกำไรที่อ่อนแอจากบริษัทในเครือ
ด้านบล.โนมูระ พัฒนสิน ระบุในบทวิเคราะห์ว่า แนวโน้มการปรับขึ้นค่า ft ที่มากกว่าคาดจะทำให้กำไรกลุ่มโรงไฟฟ้าดีกว่าคาดโดยเฉพาะกลุ่มที่มีการขายไฟฟ้าลูกค้าอุตสาหกรรม (IU) อย่าง GPSC ที่มีสัดส่วนการขายไฟ IU 37%, BGRIM มี IU 25%, บริษัท กัลฟ์ เอ็นเนอร์จี ดีเวลลอปเมนท์ จำกัด (มหาชน) หรือ GULF มี IU 15% เบื้องต้นคาด upside ต่อกำไรปกติกลุ่มปี 2565 รวมราว 464 ล้านบาท หรือราว 1%
ทั้งนี้หากแยกรายหุ้น upside ต่อกำไรจะเป็น GPSC สัดส่วน 2%/ BGRIM สัดส่วน 2%/ GULF สัดส่วน 1%/ บริษัท ผลิตไฟฟ้า จำกัด (มหาชน) หรือ EGCO สัดส่วน 0.2%/บริษัท ราช กรุ๊ป จำกัด (มหาชน) หรือ RATCH สัดส่วน 0.4% ตามลำดับ ทั้งนี้ upside ดังกล่าวไม่ได้กระทบปี 2565 ของหุ้นในกลุ่มอย่างมีนัยสำคัญ
โดยคงคำแนะนำ Bullish ต่อกลุ่มโรงไฟฟ้า คงมุมมองจุดปลอดภัยในการสะสมเป็นช่วงไตรมาส 2/2565 ที่ราคาต้นทุนพลังงานผันผวนน้อยลง ระยะสั้นมองมีแรงกดดันจากราคาพลังงานผันผวนจากสงครามรัสเซีย-ยูเครนกระทบ margin ส่วนการขายไฟ IU แต่ระยะยาวยังมีโรงไฟฟ้าใหม่เข้ามาต่อเนื่องในช่วงปี 2565-2568, ความต้องการใช้ไฟฟ้าฟื้นตัวหลังผลกระทบ COVID-19 ลดลง, การปิดซ่อมตามแผนโรงไฟฟ้าขนาดใหญ่ลดลง และการปิดซ่อมนอกเหนือแผนลดลง รวมถึงแนวโน้ม GPM ที่ฟื้นในระยะยาวจากการปรับขึ้น ft ของรัฐมาชดเชยต้นทุนพลังงานที่สูงขึ้น
ทั้งนี้มองว่าช่วงไตรมาส 2/2565 เป็นจังหวัดสะสมหุ้นโรงไฟฟ้าเพราะต้นทุนพลังงานที่ผันผวนมีแนวโน้มลดลง ยังเลือก GPSC เป็น top picks ของกลุ่มฯ เพราะมีปัจจัยบวกหนุนจากกำลังการผลิตใหม่เด่น และเป็นผู้ได้ประโยชน์มากสุดจากการปรับขึ้นค่า ft ของรัฐ