พาราสาวะถี

เป็นไปอย่างที่ทุกฝ่ายคาดการณ์กันไว้ก่อนหน้ากับมติของที่ประชุมใหญ่ ศบค.เมื่อวันศุกร์ที่ผ่านมา ไม่ว่าจะเป็นการประกาศให้ทุกจังหวัดเป็นพื้นที่สีเขียว


เป็นไปอย่างที่ทุกฝ่ายคาดการณ์กันไว้ก่อนหน้ากับมติของที่ประชุมใหญ่ ศบค.เมื่อวันศุกร์ที่ผ่านมา ไม่ว่าจะเป็นการประกาศให้ทุกจังหวัดเป็นพื้นที่สีเขียว การยกเลิกไทยแลนด์พาสตั้งแต่ 1 กรกฎาคมนี้เป็นต้นไป เช่นเดียวกับการขยายเวลาปิดสถานบันเทิงไปจนถึงตีสอง จะมีก็แต่เรื่องของการถอดหน้ากากในที่โล่งที่ระบุให้เป็นไปตามความสมัครใจ ประชาชนใช้ดุลยพินิจคิดเอากันเองว่าจุดไหนมีความปลอดภัยหรือไม่อย่างไร

มันก็ต้องเป็นไปตามนี้เมื่อสถานการณ์ของโควิด-19 ที่เวลานี้เป็นสายพันธุ์โอมิครอนยึดครองทั่วทั้งโลก แม้จะแพร่กระจายได้เร็ว ติดกันง่าย แต่ความรุนแรงที่จะส่งผลไปถึงตัวเลขผู้ป่วยหนัก และคนเสียชีวิตมีไม่มาก อันจะเห็นได้ว่าหลายประเทศได้ให้ประชาชนหันกลับมาใช้ชีวิตแบบปกติกันแล้ว รวมไปถึงการเปิดรับนักท่องเที่ยวต่างชาติที่ไม่จำเป็นต้องมีขั้นตอนอะไรให้ยุ่งยาก ดังนั้น รัฐบาลที่ต้องการเม็ดเงินมากู้วิกฤตจึงต้องผ่อนคลายทุกด้าน บนพื้นฐานความเชื่อมั่นว่าจะไม่มีอะไรพลิกผัน และสิ่งที่เตรียมการไว้สามารถรับมือได้เอาอยู่

จะเห็นได้ว่าข้อเสนอเรื่องถอดแมสก์ในที่โล่งแจ้ง รวมไปถึงการเปิดสถานบันเทิงถึงตีสองนั้น เป็นสิ่งที่ ชัชชาติ สิทธิพันธุ์ ผู้ว่าฯ กทม.เคยพูดไว้ก่อนหน้านี้ ซึ่งก็สอดคล้องกับสิ่งที่หมอการเมืองในกระทรวงสาธารณสุขได้ประเมินกันไว้ก่อนหน้า เมื่อทุกอย่างมันไม่มีแนวโน้มที่จะทำให้เห็นว่าความรุนแรงของโรคมันจะกลับมาเหมือนก่อนหน้า จึงต้องเดินหน้าให้คนไทยได้ใช้ชีวิตเกือบปกติ โดยเชื่อว่าคนส่วนใหญ่สามารถประเมินตัวเองกันได้อยู่แล้วว่าควรปฏิบัติตัวกันอย่างไรเพื่อป้องกันการติดเชื้อ

ต้องไม่ลืมว่าการเผชิญหน้ากับวิกฤตโควิดเกือบ 3 ปีที่ผ่านมานั้น คำชื่นชมต่าง ๆ ที่ได้รับจากนานาประเทศ ส่วนหนึ่งคือการทำงานอย่างหนักของบุคลากรทางการแพทย์และสาธารณสุข ทั้งในการป้องกัน รักษา ติดตามและประเมินสถานการณ์ มีข้อเสนอแนะ รวมไปถึงการกำหนดมาตรการต่าง ๆ เพื่อความปลอดภัยของประชาชน แต่สิ่งที่ทำให้มาตรการทุกอย่างราบรื่น เรียบร้อย ประสบความสำเร็จคือความร่วมมืออย่างยอดเยี่ยมของประชาชนทุกคนนั่นเอง

อย่างไรก็ตาม ผลจากการประชุม ศบค.ชุดใหญ่ครั้งนี้ สิ่งที่ทำให้ผู้นำเผด็จการสืบทอดอำนาจอารมณ์ดีจนออกมาแถลงข่าวหลังประชุมด้วยสีหน้าแช่มชื่นนั้นก็คือ บรรยากาศของการประชุมที่ ชัชชาติผู้ว่าฯ กทม.เข้าร่วมเป็นครั้งแรก รวมไปถึงการเชิญ ปรเมศร์ งามพิเชษฐ์ นายกเมืองพัทยาเข้าร่วมด้วย ซึ่งการได้แลกเปลี่ยน พูดคุยและร่วมกันแถลงข่าวกับผู้ว่าฯ กทม.นั้น ทำให้ท่านผู้นำสบายใจในมุมที่ว่าทุกคนต้องจับมือร่วมกันทำงานเพื่อให้ฟันฝ่าปัญหาที่กำลังเผชิญไปด้วยกันได้

ความจริงท่าทีของชัชชาติก็แสดงออกมาตั้งแต่ต้นอยู่แล้วว่าเป็นอิสระ แม้จะประกาศไม่สนับสนุนเผด็จการสืบทอดอำนาจ แต่เมื่อสถานการณ์ของบ้านเมืองเป็นไปแบบนี้ ในฐานะผู้บริหารท้องถิ่นอย่าง กทม.ก็ต้องปฏิบัติภารกิจของตัวเองอย่างเต็มที่ ส่วนความเชื่อถือเชื่อมั่นของประชาชนที่มีต่อผู้นำเผด็จการสืบทอดอำนาจนั้น เป็นสิ่งที่ไม่จำเป็นจะต้องไปฟาดฟัน ห้ำหั่น เพราะผลงานจะเป็นตัวบ่งชี้ โดยมีประชาชนเป็นผู้ตัดสินเมื่อการเลือกตั้งมาถึง

ด้วยท่วงทำนองเช่นนี้จึงทำให้การประชุมเป็นไปอย่างเรียบร้อย มติที่ออกมาก็ถือว่าเป็นไปตามที่ผู้ว่าฯ กทม.ต้องการ ไม่ต่างจากเมืองท่องเที่ยวอื่น ๆ ที่ต้อนรับนักท่องเที่ยวต่างชาติเป็นด้านหลัก การที่การเดินทางเข้าประเทศไม่ต้องผ่านกระบวนการที่ยุ่งยาก และสถานบันเทิงสามารถเปิดให้บริการได้อย่างเต็มที่นั้น ย่อมทำให้ผู้ประกอบการพอใจ มีโอกาสที่ธุรกิจจะฟื้นตัวเร็ว ขณะที่ภาคประชาชนหวังว่าจะได้รับอานิสงส์ทั้งการจ้างงานและรายได้ที่คาดว่าน่าจะกลับมาดีขึ้น

แต่ทั้งหมดต้องดำเนินไปภายใต้มาตรการความปลอดภัยอย่างเคร่งครัด หลังจากที่พิจารณาสิ่งที่ ศบค.เคาะครั้งนี้แล้ว ก็เชื่อได้เลยว่าไม่จำเป็นที่จะต้องรอให้กระทรวงสาธารณสุขประกาศว่าประเทศไทยได้นำโควิด-19 เข้าสู่การเป็นโรคประจำถิ่นแล้วเมื่อใด เพราะหลังจากนี้การใช้ชีวิตที่ไม่ได้มีข้อบังคับ หรือการห้ามใด ๆ อีกแล้ว ก็เท่ากับว่าทุกอย่างกลับมาเกือบปกติ สิ่งที่จะต้องขบคิดสำหรับฝ่ายกุมอำนาจและต้องขยับกันในขั้นต่อไปคือ ถึงเวลาที่จะต้องยกเลิก พ.ร.ก.ฉุกเฉินแล้วหรือยัง

เมื่อทุกอย่างถูกปลดล็อก และหมอการเมืองก็ยืนยันแล้วว่าสถานการณ์การระบาดของโควิดอยู่ในทิศทางที่สามารถรับมือได้ จึงไม่จำเป็นที่จะต้องใช้กฎหมายพิเศษอีก อยู่ที่ว่าผู้นำเผด็จการสืบทอดอำนาจต้องการจะใช้ไปเพื่อรักษาเสถียรภาพของตัวเองต่อไปหรือไม่ ในแง่ของการเป็นเครื่องมือให้ฝ่ายปฏิบัติสามารถใช้ความเด็ดขาดในการควบคุมม็อบต่อต้านได้ ตรงนี้ก็ต้องเป็นภาระของเนติบริกรทั้งหลาย โดยเฉพาะศรีธนญชัยลอดช่องที่จะต้องหามุมมาอธิบายกับประชาชนว่า ทำไมยังต้องใช้ พ.ร.ก.ฉุกเฉินต่อไป

กลายเป็นประเด็นที่สังคมให้ความสนใจทันทีหลังจากที่ สุชาติ ชมกลิ่น รัฐมนตรีแรงงานบุกรัฐสภายื่นเรื่องให้ ชวน หลีกภัย ประธานสภาผู้แทนราษฎรตรวจสอบญัตติอภิปรายไม่ไว้วางใจของพรรคฝ่ายค้านโดยอ้างว่าเป็น “ญัตติเถื่อน” เนื่องจากมีรายชื่อรัฐมนตรีงอกออกมาจากเดิมที่บอกว่าจะซักฟอกกันแค่ 10 คน แต่พอยื่นจริงกลับมี 11 คน ไม่รู้ว่าใครเป็นกุนซือให้สายตรงของผู้นำเผด็จการสืบทอดอำนาจมาดำเนินการในลักษณะนี้ ที่เกรงว่าสุดท้ายมันจะวกกลับมาเล่นงานตัวเอง

เพราะสิ่งที่ฝ่ายค้านดำเนินการ คือ ไม่ได้เป็นการเพิ่มรายชื่อหลังจากยื่นญัตติไปแล้ว แต่ทั้ง 11 คนถูกยื่นญัตติซักฟอกในคราวเดียวกัน ดังนั้น ข้อมูลที่รัฐมนตรีจับกังอ้างว่าการให้สัมภาษณ์ของ สุทิน คลังแสง ประธานวิปฝ่ายค้านยังบอกว่าจะมี 10 คน ประกอบกับเอกสารที่ตัวเองได้มาช่วงเช้าก่อนจะมีการยื่นญัตติก็ยังมีรายชื่อรัฐมนตรีถูกอภิปราย 10 คน งานนี้บอกได้คำเดียวว่าคนที่นำข้อมูลมาขายให้ท่านรัฐมนตรีน่าจะเร่งรีบจึงนำข้อสอบผิดชุดมาให้ หรือไม่ก็ถูกสับขาหลอก คงต้องกลับไปคิดใหม่ที่ออกมาตีโพยตีพายเป็นเรื่องของการเรียกร้องความถูกต้อง หรือรักษาอาการหน้าแหกของตัวเองกันแน่

Back to top button