PTG แย้มรายได้ปีนี้โต 10% รับ “น้ำมัน-นอนออยล์” ฟื้น! ขยายร้าน “กาแฟพันธุ์ไทย” 600 สาขา
PTG ส่งซิกรายได้ปี 65 โต 6-10% รับอานิสงส์ธุรกิจ “น้ำมัน-นอนออยล์” ฟื้นตัว เผยไตรมาส 3/65 เดินหน้าติดตั้งสถานีชาร์จรถยนต์ไฟฟ้า (EV) ให้ครบ 36 จุดชาร์ท ตั้งเป้าขยายร้านกาแฟพันธุ์ไทยครบ 600 สาขาในปีนี้
นายรังสรรค์ พวงปราง ผู้ช่วยกรรมการผู้จัดการใหญ่ บริษัท พีทีจี เอ็นเนอยี จำกัด (มหาชน) หรือ PTG เปิดเผยว่า ทิศทางผลการดำเนินงานในไตรมาส 2/2565 คาดว่าน่าจะใกล้เคียง หรือไม่น้อยกว่าช่วงเดียวกันของปีก่อน เนื่องจากปริมาณการจำหน่ายน้ำมันเพิ่มขึ้น รวมถึงยอดขายก๊าซปิโตรเลียมเหลว (LPG) เติบโตได้ดี ด้วยความต้องการใช้ของภาคส่วนต่างๆ ฟื้นตัวไปในทิศทางกิจกรรมทางเศรษฐกิจ
ขณะที่ธุรกิจส่วนของ (Non-Oil) เติบโตอย่างชัดเจน จากการขยายสาขาใหม่ รวมทั้งสาขาเดิมกลับมาฟื้นตัวมากขึ้น หลังสถานการณ์โควิด-19 ดีขึ้น บวกกับการเปิดประเทศ ส่งผลให้ภาคการท่องเที่ยวกลับมาคึกคัก สะท้อนจากร้าน กาแฟในสนามบินที่มียอดขายเพิ่มขึ้นค่อนข้างมาก หลังจากปริมาณผู้โดยสารกลับมาใช้บริการกว่า 50-60% จากก่อนเกิดโควิด-19
โดยผลการดำเนินงานส่วนของร้านกาแฟพันธุ์ไทย นับตั้งแต่ต้นปี 2565 จนถึงปัจจุบัน กำไรก่อนหักดอกเบี้ย ภาษี ค่าเสื่อมราคา และค่าตัดจำหน่าย (EBITDA) เพิ่มขึ้นต่อเนื่อง ตามความนิยมของผู้บริโภค และการตอบรับที่ดีเรื่องคุณภาพกาแฟ โดยมีแผนขยายสาขาใหม่ ทั้งในปั๊มน้ำมันพีที และเอ้าท์เล็ท ภายในสิ้นปี 2565 ครบ 600 สาขา จากเดิมปี 2564 อยู่ที่ 300 สาขา
ด้านร้าน Coffee World ปัจจุบันผลการดำเนินงาน EBITDA เป็นลบ เมื่อเทียบกับก่อนเกิดโควิด-19 ที่มีกำไร แต่นับตั้งแต่ช่วงไตรมาส 3/2565 คาดว่า EBITDA จะกลับมาเป็นบวกได้ ตามการเปิดห้างสรรพสินค้า-สนามบินได้เต็มรูปแบบ ซึ่งตั้งเป้าหมายไว้ว่าปี 2565 ต้องไม่มีผลขาดทุน โดยมีแผนจับกลุ่มลูกค้า หรือออกโปรดักส์พรีเมี่ยม เช่น โปรดักส์ที่มีส่วนผสม CBD จากกัญชง-กัญชา ปัจจุบันอยู่ระหว่างขั้นตอนทดลอง คาดว่าสามารถจะเปิดตัวในช่วงปลายไตรมาส 3/2565 หรือต้นไตรมาส 4/2565
ส่วนร้านสะดวกซื้อ Max Mart เริ่มฟื้นตัวจากการเปิดประเทศ และการเดินทางในประเทศ เชื่อว่าครึ่งปีหลังจะดีขึ้น รวมไปถึงร้านจำหน่ายก๊าซหุงต้ม Max Gas และศูนย์บริการรถยนต์ครบวงจรคุณภาพออโต้แบคส์ที่เติบโตโดดเด่น และมีกำไรตามแผนที่วางไว้ ซึ่งยังทยอยเปิดสาขาเพิ่มให้ครบ 30 สาขา จากปัจจุบัน 15 สาขา ทั่วประเทศ และมุ่งสร้างการรับรู้แบรนด์มากยิ่งขึ้น
ทั้งนี้ในช่วงไตรมาส 3/2565 บริษัทมีแผนจะติดตั้งสถานีชาร์จรถยนต์ไฟฟ้า (EV) ให้ครบ 36 จุดชาร์ท ครอบคลุมเส้นทางท่องเที่ยวเหนือจรดใต้ เพื่อให้ผู้ใช้รถยนต์ไฟฟ้าสบายใจตลอดการเดินทาง รวมไปถึงมีแผนที่ดำเนินการติดตั้ง Solar Rooftop ให้ครบ 40-50 สาขา จากปัจจุบันที่ติดตั้งแล้ว 20-30 สาขา ด้านความคืบหน้าของลงทุนในสินทรัพย์ดิจิทัลอย่าง Cryptocurrency กับพันธมิตร ปัจจุบันอยู่ในขั้นตอนพิจารณาของสำนักงานคณะกรรมการกำกับหลักทรัพย์และตลาดหลักทรัพย์ (ก.ล.ต.)
อย่างไรก็ดีบริษัทมั่นใจรายได้จากการขายและบริการในปี 2565 จะเติบโตจากปี 2564 ตามปริมาณการจำหน่ายน้ำมันที่จะเติบโต 6-10% และ Non-Oil ที่ขยายตัวเพิ่มขึ้นอย่างชัดเจน
“ส่วนกรณีที่รัฐขอความร่วมมือผู้ค้าน้ำมันคงค่าการตลาดอยู่ที่ 1.40 บาทต่อลิตรนั้น มองว่ามาร์จิ้นยังพออยู่ได้ เพราะมีการดูแลซัพพลายเซนตั้งแต่รถบรรทุกขนส่งไปจนถึงการขาย มั่นใจว่าหากค่าการตลาดคงไว้ 1.40 บาท ยังสามารถสร้างการเติบโต และบริหารจัดการได้อยู่ แต่อย่างไรก็ตามบริษัทยังมุ่งเพิ่มสัดส่วนยอดขายจากธุรกิจ Non-Oil เพิ่มขึ้นเป็น 50% ในอนาคต ซึ่งจะเน้นการร่วมมือกับพันธมิตรที่หลากหลาย รวมถึงอาศัยฐานลูกค้าจากบัตร Max Card และการตลาดที่ดียิ่งขึ้น” นายรังสรรค์ กล่าว