แพะของตลาดหุ้นขาลง
สภาวะอันวังเวงของตลาดยามนี้ ดุจกวีอังกฤษเก่าที่เคยแปลเป็นไทยว่า “บทรำพึงในป่าช้า” ชวนให้เศร้าไปตาม ๆ กัน
สังคมที่เน้นการเมืองแบบศีลธรรมวัดความดีงาม ด้วยปากเปล่าเกี่ยวกับความดีที่กินไม่ได้ และการสาดโคลนทางอำนาจอย่างพล่อย ๆ และพร่ำเพรื่อเพื่อปัดสวะความรับผิดชอบ กำลังแสดงออกอย่างเกินเลยเมื่อดัชนีตลาดหุ้นหรือ SET ปรับตัวติดลบไปกว่า 100 จุดในสัปดาห์ที่ผ่านมา จนราคาหุ้นในตลาดกลายเป็นราคาต่ำแล้ว แต่ยังมีต่ำกว่า
ผลลัพธ์ทำให้หุ้นชั้นเยี่ยมกลายเป็นหุ้นแบกะดิน ที่กลายสภาพเป็นสินค้าฟุ่มเฟือยหรือสินค้าของเวฟเลน ปรมาจารย์เจ้าของทฤษฎีสินค้าฟุ่มเฟือย เป็นปรากฏการณ์ทั่วไป มีแต่คนฉลาดซื้อ เท่านั้นที่สามารถเลือก “ซื้อของถูก” เข้าพอร์ต ในยามที่คุณตลาดยังคงตื่นตระหนกกัน
ยามนี้ พูดอะไรไปก็ไม่มีคนฟังหรือฟังแต่ไม่ได้ยินเสียงจนหมดอารมณ์จะพูดไปหมด
เพราะคนมองหาแพะรับบาปมากกว่าหาโอกาสในวิกฤต
คนที่พยายามให้อรรถาธิบายถึงเหตุผลและความชอบธรรม ว่าให้เฟ้นหาอัญมณีในกองกรวด จึงถูกมองว่าบ้าหรือเพี้ยน แล้วคนทั่วไปก็จะมองเห็นการเก็บหุ้นเข้าพอร์ตในราคาต่ำ กลายเป็นความสูญเปล่าเฉกเช่นการ “ร่องหาเมล็ดข้าวเต็มจากกองแกลบที่ไม่คุ้มค่า-เสียเวลาเปล่า”
ผู้บริหารของตลาดที่เคยอวดอ้างยามหุ้นเป็นขาขึ้นเช่นว่า การแสดงความมั่นใจเกินจำเป็นถึง “คุณตลาด” ที่หอบเงินสดหนีตายจากดอกเบี้ยเงินฝากธนาคารที่ต่ำกว่าอัตราเงินเฟ้อ เพื่อหมุนเวียนในตลาดหุ้นไทย 3 วันแรกสุดของการซื้อขายปีนี้ วันละเฉลี่ยกว่า 9.0 หมื่นล้านบาท ถือว่าไม่ใช่เล่นการพนัน ก็หลบหน้าไปตามสูตร
หลายคนที่มองโลก ทางร้าย ที่เชื่อว่าตลาดหุ้นขาลงยามนี้เป็นภาวะที่เรียกกันว่า Minsky Moment จะมาเยือน ก็กลายมาเป็นกระต่ายตื่นตูมไปกับเขาด้วย เปลี่ยนใจจากการเป็นนักลงทุนที่มีความมั่นใจเกินขนาด กลายเป็นคนที่ “ขี้หดตดหาย” อย่างไร้เหตุผล
นักวิเคราะห์ที่เคยออกมาพูด “ฟันธง” ชนิดไม่แทงกั๊กเลยว่า ตลาดหุ้นเลือกที่จะมองไปข้างหน้ามากกว่ามองไปข้างหลัง พร้อมสาธยายปัจจัยทั้งหลายประการที่ทำให้ตลาดหุ้นทั่วโลกไม่จำต้องกลัวการแพร่ระบาดของโควิด-19 เพราะมาตรการต่าง ๆ ที่กำลังดำเนินการกันอยู่ทั่วโลก พร้อมกับทิ้งท้ายว่า “ปีนี้จะเป็นปีที่ดีของตลาดหุ้นทั่วโลก รวมทั้งตลาดหุ้นไทย” ด้วยท่าทีที่เรียกกันว่า “จุ๊หมาน้อยขึ้นดอย” หรือ “พาคนไปตาย” ……ก็หายหน้าไป ไม่ยอมรับโทรศัพท์
ยามนี้ วันช่วงเวลาที่ค่าพี/อีของตลาดหุ้นไทยยามนี้ สูงในระดับต่ำกว่า 18 เท่า ไม่ใช่เป็นช่วงฟองสบู่ที่ค่าพี/อีเคยพรวดขึ้นไปติดเพดานระดับ 30 เท่า ก็ไม่มีปัจจัยที่บ่งชี้ว่าราคาหุ้นส่วนใหญ่พุ่งเกินพื้นฐานที่สวนทางกับราคามากเกินสมควร…แต่คำชี้แนะว่าให้ถือหรือขาย กันต่อไป มีน้อยรายที่ แนะให้ซื้อสะสม
สภาวะอันวังเวงของตลาดยามนี้ ดุจกวีอังกฤษเก่าที่เคยแปลเป็นไทยว่า “บทรำพึงในป่าช้า” ชวนให้เศร้าไปตาม ๆ กัน
อารมณ์ “คุณตลาด” อย่างนี้ ทำให้ราคาหุ้นหรือหลักทรัพย์ ชั้นดีอย่างหุ้นธนาคารและอสังหาริมทรัพย์ชั้นนำ เป็น “ไก่หงอยเพราะติดห่า” ไปตาม ๆ กัน สวนกับผลประกอบการที่พุ่งขึ้นมาอย่างไม่น่าเชื่อ
เมื่อหุ้นถูกกระหน่ำขายประหนึ่งเป็นสินค้าแบบ เว็บเล็น (Veblen Goods) หรือ สินค้าแบบกิฟเฟน (Giffen Goods) ไปทุกขณะ แล้วนักวิเคราะห์ก็ยังคงมีมุมมองที่่ใช้ข้ออ้างของ “อารมณ์คุณตลาด” มาชี้นำเชิงลบ โดยหลงลืมถึงมาตรการทางการคลังเพื่อกระตุ้นเศรษฐกิจโดย “มือที่มองเห็น” จากมาตรการทางการคลังของรัฐต่าง ๆ และธนาคาร ยังมีออกมาตรการทางด้านนโยบายการเงินได้อีกเพิ่มเติม และการฟื้นตัวแบบ W-shaped ของตลาดสินค้า ที่ไม่เสถียรก็ยังช่วยให้การพิจารณาแบบ “โลกสวยเกิน” เป็นไปได้
นิทานว่าด้วยตำนานเก่าของการลงทุนที่เป็น “โดยอุบัติเหตุ” เสมือนปาเป้า แล้วได้ผลบวกทันทีที่ร่ำรวยจากการใช้เงินลงทุนแล้วกลายเป็น “ความสำเร็จเหลือเชื่อและชัยชนะที่ใหญ่เกินความสามารถ”
เพียงแต่วันนี้ อะไรก็ไม่ง่ายเหมือนเดิม แต่โอกาสยังเปิดกว้างเสมอสำหรับคนที่ชาญฉลาดกว่าปกติ และไม่ใช่วีนหลังสงคราม