“ท่าเรือราชาเฟอร์รี่” ปลื้มยอดจอง IPO ล้น พร้อมเทรด mai 12 พ.ย.นี้
“บมจ.ท่าเรือราชาเฟอร์รี่” หรือ RP ผู้นำในธุรกิจให้บริการเดินเรือเฟอร์รี่ในประเทศไทย ปลื้มยอดจอง IPO ล้น โดยมี 38 ล้านหุ้น พร้อมเข้าเทรด mai 12 พ.ย.มั่นใจจะได้รับการตอบรับที่ดีจากนักลงทุน
นายพิชิต อัคราทิตย์ ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บล.เอเชีย เวลท์ ในฐานะผู้จัดการการจัดจำหน่ายและรับประกันการจัดจำหน่ายหุ้นสามัญเพิ่มทุน บริษัท ท่าเรือราชาเฟอร์รี่ จำกัด (มหาชน) หรือ RP ผู้นำในธุรกิจให้บริการเดินเรือเฟอร์รี่ในประเทศไทย เปิดเผยว่า สำหรับยอดสรุปการจองซื้อหุ้นสามัญเพิ่มทุนที่จำหน่ายให้ประชาชนครั้งแรก (IPO) ของ RP เมื่อวันที่ 4-6 พ.ย.58 จำนวนทั้งสิ้น 38 ล้านหุ้น ราคาหุ้นละ 12 บาท นักลงทุนจองซื้อหุ้นเกินกว่าจำนวนที่จัดสรร โดยสามารถกระจายหุ้นให้กับนักลงทุนรายย่อยถึง 1,939 ราย
“แสดงให้เห็นว่านักลงทุนมีความมั่นใจในหุ้น RP เชื่อมั่นในปัจจัยพื้นฐานที่แข็งแกร่ง ศักยภาพการดำเนินธุรกิจ แนวโน้มในการเติบโตที่ชัดเจน โดยหุ้น RP จะเข้าจดทะเบียนในตลาดหลักทรัพย์เอ็มเอไอ (mai) ในวันที่ 12 พ.ย.นี้ มั่นใจจะได้รับการตอบรับที่ดีจากนักลงทุน”นายพิชิต กล่าว
ด้านนางสาวปิ่นมณี เมฆมัณฑนา กรรมการผู้จัดการ บริษัท ทริปเปิ้ล เอ พลัส แอดไวเซอรี่ จำกัด ในฐานะบริษัทที่ปรึกษาทางการเงิน กล่าวว่า ธุรกิจของ RP มีแนวโน้มอยู่ในทิศทางที่ดีและมีความโดดเด่น จากนโยบายที่ชัดเจนของผู้บริหารที่มีประสบการณ์และความเชี่ยวชาญในธุรกิจ ซึ่งราคาหุ้น IPO ที่ 12 บาทถือว่าเหมาะสมกับปัจจัยพื้นฐานที่แข็งแกร่ง มีศักยภาพในการเติบโตสูง และจากการที่บริษัทได้นำเสนอข้อมูล (Road Show) ให้กับนักลงทุนซึ่งให้ความสนใจรับฟังข้อมูลอย่างมาก ทำให้มั่นใจว่าเมื่อหุ้น RP ที่จะเข้าซื้อขายในตลาดหลักทรัพย์เอ็มเอไอ จะได้รับการตอบรับที่ดี
สำหรับผลประกอบการ RP เติบโตอย่างโดดเด่น โดยในปี 57 บริษัทมีรายได้จากการขายและบริการ 665 ล้านบาท กำไรสุทธิ 85 ล้านบาท หรือ คิดเป็นอัตรากำไรสุทธิเท่ากับ 12.61% ในขณะที่ช่วง 6 เดือนแรก บริษัทมีรายได้รวมอยู่ที่ 320 ล้านบาท และมีกำไรสุทธิที่ 47 ล้านบาท คิดเป็นอัตรากำไรสุทธิเท่ากับ 14.78%
ด้านนายอภิชาติ ชโยภาส กรรมการผู้จัดการ RP กล่าวว่า ภายหลังจากการเข้าจดทะเบียนในตลาดหลักทรัพย์เอ็มเอไอ จะช่วยผลักดันให้ RP มีศักยภาพในการดำเนินธุรกิจโดยเงินที่ได้จากเสนอขายหุ้น IPO ครั้งนี้ บริษัทจะนำไปซื้อเรือเฟอร์รี่เพิ่มอีก 1 ลำ จากปัจจุบันมีอยู่ 12 ลำ และชำระหนี้เงินกู้ระยะยาว เพื่อรองรับการขยายตัวของการท่องเที่ยวบนเกาะสมุย และเกาะพะงันที่มีแนวโน้มเพิ่มขึ้นอย่างต่อเนื่อง ส่วนที่เหลือจะนำไปใช้เป็นเงินทุนหมุนเวียนในการดำเนินธุรกิจต่อไป
“การได้รับการตอบรับจากนักลงทุนอย่างดีเยี่ยมในครั้งนี้ คาดว่าเป็นเพราะนักลงทุนได้มองเห็นถึงโอกาสและแนวโน้มการเติบโตของบริษัทฯ ตามการขยายตัวของอุตสาหกรรมการท่องเที่ยว และอุตสาหกรรมที่สนับสนุนการท่องเที่ยวในประเทศไทยที่ผ่านมาเป็นเครื่องตอกย้ำให้นักลงทุนเชื่อมั่นในศักยภาพของการเติบโตของธุรกิจมากยิ่งขึ้น”นายอภิชาติ กล่าว