แนะสอย 10 หุ้น ครึ่งปีหลังกำไรโต สวน “เศรษฐกิจ” ผันผวน

แนะสอย 10 หุ้น ครึ่งปีหลังกำไรโต ได้แก่ BBL, CK, CPN, MAKRO, ORI, PR9, SAPPE, SHR, SISB และ TFG สวน “เศรษฐกิจโลก” ผันผวน


บริษัทหลักทรัพย์ฟินันเซีย ไซรัส จำกัด (มหาชน) ระบุในบทวิเคราะห์ (21 มิ.ย.2565) ว่า ภาพรวมการลงทุนในครึ่งปีหลัง 2565 มีปัจจัยกดดันหลักจากต่างประเทศโดยเฉพาะประเด็นเงินเฟ้อที่ยังอยู่ในระดับสูง รวมถึงสงครามที่ลากยาวซึ่งทำให้ราคาน้ำมันคาดว่ายังคงอยู่ในระดับสูงราว 100 เหรียญต่อบาร์เรลในครึ่งปีหลัง 2565 อย่างต่อเนื่อง ทำให้กดดันเศรษฐกิจโลกชะลอตัว โดยล่าสุด World Bank ปรับลดคาดการณ์ GDP ลงเหลือ 2.9% จากงวดเดียวกันของปีก่อน โดยปรับลงมากในฝั่งสหรัฐฯและยุโรปซึ่งถูกกระทบชัดที่สุด

โดยนโยบายการเงินของธนาคารกลางทั่วโลกจำเป็นต้องตึงตัวขึ้นเร็วทั้งการขึ้นดอกเบี้ยโดยเฉพาะ FED รวมถึงการลดขนาดงบดุลดูดสภาพคล่องออกเพื่อสกัดเงินเฟ้อที่ปัจจุบันสูงกว่ากรอบเป้าหมาย 2% อยู่มากท่ามกลางเศรษฐกิจที่โตชะลอ เข้าข่ายภาวะ Stagflation และมีโอกาสลามไปถึงขั้นเกิด Recession ในระถัดไปหากเงินเฟ้อสูงยาวนานกว่าคาด ซึ่งกดดันบรรยากาศการลงทุนโดยเฉพาะสินทรัพย์เสี่ยง อย่างไรก็ตามหากเปรียบเทียบกับช่วงปี 1,970-1,980 ที่เกิด Stagflation และ Recession ทางฝ่ายวิจัยมองว่าสถานการณ์ในปัจจุบันยังไม่รุนแรงเท่า แต่จำเป็นต้องใช้ระยะเวลาในการปรับตัวในครึ่งปีหลัง 2565 เป็นอย่างน้อย

สำหรับปัจจัยบวกหลักยังอยู่ที่เศรษฐกิจไทยมีแนวโน้มเติบโตแข็งแรงกว่าฝั่งประเทศพัฒนาแล้ว โดยได้อานิสงส์จากการผ่อนคลายมาตรการคุมโควิด-19 ของศบค. รวมถึงแผนการเปิดประเทศเต็มรูปแบบในครึ่งปีหลัง 2565 หนุนภาคการท่องเที่ยวทยอยฟื้นตัวซึ่งเป็นผลดีต่อเศรษฐกิจระยะยาว ซึ่งธปท.คาด GDP ปี 2565 เพิ่มขึ้น 3.30% จากงวดเดียวกันของปีก่อน และจะเร่งตัวขึ้นเป็น 4.20% จากงวดเดียวกันของปีก่อน ในปี 2566 ซึ่งไม่เข้าข่าย Stagflation เทียบกับประเทศพัฒนาแล้วที่คาดโตชะลอตัว 2.60% จากงวดเดียวกันของปีก่อน และ 2.2% จากงวดเดียวกันของปีก่อน ในปี 2565-2566 ตามลำดับ

ทั้งนี้ปัจจุบันตัวเลขคาดการณ์ EPS จาก Bloomberg Consensus ปี 2565 อยู่ที่ 97 บาท แต่ทางฝ่ายวิจัยเชื่อว่ามีโอกาสเห็นการปรับประมาณการลงในไตรมาส 3/2565 เล็กน้อยเหลือราว 94-95 บาท จากแรงกดดันด้านต้นทุนตามราคา Commodity ที่สูง ประกอบกับนโยบายการเงินที่ตึงตัวเร็วทำให้ทางฝ่ายวิจัย Rerate Target PER ลงเหลือ 17.50 เท่าใกล้เคียงช่วงปี 2560-2562 ที่ภาพรวมนโยบายการเงินใกล้เคียงกัน ส่งผลให้ SET Target ปี 2565 ของทางฝ่ายวิจัยปรับลงจาก 1,770 จุดเหลือ 1,670 จุด

อย่างไรก็ดีกลยุทธ์การลงทุนทางฝ่ายวิจัยประเมินระดับ 1,520+- จุด เป็นระดับที่เหมาะในการทยอยสะสมหุ้นพื้นฐานโดยมี Upside ใกล้ 10% จากดัชนีเป้าหมาย โดยเน้นลงทุนในกลุ่มที่เกี่ยวข้องกับสินค้าบริการจำเป็นที่คาดถูกกระทบจำกัดและผันผวนต่ำจากความไม่แน่นอนของเศรษฐกิจโลก รวมถึงกลุ่ม Reopening Play ที่ได้อานิสงส์จากการท่องเที่ยวที่ฟื้นตัว

สำหรับหุ้น Top Pick ช่วงครึ่งปีหลัง 2565 ได้แก่ ธนาคารกรุงเทพ จำกัด (มหาชน) หรือ BBL โดยคาดกำไรไตรมาส 2-4/2565 เติบโตจากงวดเดียวกันของปีก่อน และทุกๆไตรมาสจากการตั้งสำรองที่ลดลง ส่วนคุณภาพสินทรัพย์ที่คาดรักษาระดับทรงตัวได้ โดยพอร์ตส่วนใหญ่ของ BBL เป็นลูกค้ารายใหญ่ประมาณ 40% ซึ่งได้รับผลกระทบจำกัดจากภาวะเงินเฟ้อ ทางฝ่ายวิจัยคาดกำไรสุทธิปี 2565 เพิ่มขึ้น 13% จากงวดเดียวกันของปีก่อน และปี 2566 เพิ่มขึ้น 11% จากงวดเดียวกันของปีก่อน โดยประเมินว่ามี Upside เพิ่มเติมหากดอกเบี้ยนโยบายมีการปรับขึ้น เนื่องจาก BBL เป็นหนึ่งในธนาคารที่จะได้รับประโยชน์สูงสุดจากแนวโน้มดอกเบี้ยขาขึ้น ด้าน Valuation ถือว่ายังถูกมาก เทรด PBV ต่ำ เพียง 0.50 เท่า ทำให้ Downside จำกัด แนะนำราคาเป้าหมายจากบริษัทหลักทรัพย์ที่ปรึกษาการลงทุน เอฟเอสเอส อินเตอร์เนชั่นแนล จำกัด หรือ FSSIA ที่ให้ไว้ที่ 134 บาท

บริษัท ช.การช่าง จำกัด (มหาชน) หรือ CK คาดทิศทางการรับงานใหม่เพิ่มขึ้นต่อเนื่องหนุน Backlog ปัจจุบันไต่ระดับขึ้นเป็น 6.50 หมื่นล้านบาท และอยู่ระหว่างรอเซ็นโรงไฟฟ้าหลวงพระบางของ CKP กว่า 8-9 หมื่นล้านบาท ในครึ่งปีหลัง 2565 คาดหนุนให้ Backlog แตะ 1.30 แสนล้านบาทในปีนี้ซึ่งยังไม่รวมการเข้าประมูลงานใหม่อีกหลายโครงการ สำหรับระยะสั้นมี Catalyst จากรถไฟฟ้าสายสีส้มที่ยื่นซอง 27 ก.ค. และรู้ผลปลายปีนี้ซึ่งทางฝ่ายวิจัยคาดกลุ่ม BEM-CK มีแต้มต่อเหนือคู่แข่ง บวกกับแนวโน้มงบไตรมาส 2/2565 ฟื้นตัวเด่น ส่วนระยะกลาง-ยาวเป็นบวกตามการยกฐานปริมาณงานในมือ ขณะที่ราคาหุ้นเทรดบน PBV ที่ 1.30 เท่า ต่ำกว่าค่าเฉลี่ยในอดีตที่1.80 เท่า ซึ่งยังไม่สะท้อนธุรกิจรับเหมาที่เข้าสู่ขาขึ้นรอบใหม่และ Discount NAV ที่ถือในบริษัทลูกอยู่ มาก แนะนำราคาเป้าหมาย 26 บาท

บริษัท เซ็นทรัลพัฒนา จำกัด (มหาชน) หรือ CPN มีโมเมนตัมกำไรคาดจะฟื้นตัวชัดเจนในไตรมาส 2/2565 เป็นต้นไปตามการ Reopening หนุนตัวเลขผู้ใช้บริการและผู้เช่าปรับตัวขึ้น เช่นเดียวกับยอดขายธุรกิจอสังหาฯ ส่งผลให้ส่วนลดที่ให้ผู้เช่าในช่วง 1-2 ปีที่ผ่านมาจะทยอยหมดไป ระยะกลางและยาวมีการเติบโตรองรับจากการลงทุนใหม่ๆทั้งการเข้าซื้อหุ้น SF ศูนย์การค้า ที่อยู่อาศัย และโรงแรมวงเงิน 1.20 แสนล้านบาทในช่วง 5 ปีข้างหน้า ทางฝ่ายวิจัยคาดกำไรปี 2565 เติบโต 202% จากงวดเดียวกันของปีก่อน ส่วนปี 2566 เติบโต 33% จากงวดเดียวกันของปีก่อน และกระทบค่อนข้างจากัดจากเงินเฟ้อที่สูง แนะนำราคาเป้าหมายจาก FSSIA ที่ 82 บาท

บริษัท สยามแม็คโคร จำกัด (มหาชน) หรือ MAKRO โดยระยะสั้นการฟื้นตัวของ Lotus’s อาจล่าช้ากว่าคาดจากค่าใช้จ่ายการปรับโครงสร้างที่ยังสูง แต่ระยะถัดไปในช่วงครึ่งปีหลัง 2565-2566 น่าจะได้เห็นการฟื้นตัวที่ดีขึ้น รวมถึง Synergy ที่จะเกิดขึ้นระหว่างกัน ขณะที่ธุรกิจค้าส่ง MAKRO ยังแข็งแกร่งต่อเนื่อง คาด SSSG ไตรมาส 2/2565 เป็นบวกมากขึ้นราว 5-7% จากงวดเดียวกันของปีก่อน ซึ่งทางฝ่ายวิจัยยังคาดว่า MAKRO และ Lotus’s จะได้รับผลกระทบจาก Inflation ค่อนข้างจากัด เพราะรายได้ส่วนใหญ่เป็นการขายอาหารและเครื่องดื่ม รวมถึงสินค้าอุปโภคต่างๆที่จำเป็นต่อการดำรงชีวิต ทางฝ่ายวิจัยได้มีการทำ Sensitivity พบว่ากรณีมีการปรับขึ้นค่าแรงขั้นต่ำทุก 10% คาดจะกระทบต่อกำไร MAKRO ราว 5.50% ซึ่งเชื่อว่าการขึ้นค่าแรงขั้นต่ำจะเป็นบวกต่อรายได้ของกลุ่มค้าปลีกเพราะจะมีการจับจ่ายใช้สอยมากขึ้น โดยหาก SSSG ขยับขึ้นเพียง 1% ก็จะสามารถหักล้างผลลบของค่าแรงที่ปรับขึ้นได้ทั้งหมด ซึ่งในอดีตที่ผ่านมาบริษัทจะได้ผลบวกสุทธิจากการปรับขึ้นค่าแรง แนะนำราคาเป้าหมายจาก FSSIA ที่ 52 บาท

บริษัท ออริจิ้น พร็อพเพอร์ตี้ จำกัด (มหาชน) หรือ ORI มีโมเมนตัมผลประกอบการในไตรมาส 1-4/2565 คาดไต่ระดับขึ้นต่อเนื่องในทุกไตรมาส หนุนจากแผนโอนกรรมสิทธิ์คอนโดใหม่ 6 โครงการและการรุกเปิดโครงการแนวราบใหม่จำนวนมากในครึ่งปีหลัง 2565 ซึ่งทางฝ่ายวิจัยคาดกำไรปกติปี 2565 โตแกร่ง 35% จากงวดเดียวกันของปีก่อน สูงกว่ากลุ่มอสังหาฯ 14% จากงวดเดียวกันของปีก่อน มีจุดเด่นคือการเพิ่มการครองส่วนแบ่งการตลาด, การขยายพอร์ตในธุรกิจอื่นซึ่งเริ่มเก็บเกี่ยวการลงทุนตั้งแต่ครึ่งปีหลัง 2565 และมี Story การ Spin off บริษัทลูก เป็นปัจจัยหนุนการเติบโต ราคาหุ้นเทรดบน PER เพียง 7.40 เท่าต่ำกว่ากลุ่มฯที่ 8.50 เท่า ซึ่งมองว่า ORI สมควรได้รับ Premium Valuation จากโมเดลธุรกิจที่แข็งแกร่งกว่า แนะนำราคาเป้าหมาย 15 บาท

บริษัท โรงพยาบาลพระรามเก้า จำกัด (มหาชน) หรือ PR9 ทางฝ่ายวิจัยมองว่า ระยะสั้นแนวโน้มกำไรไตรมาส 2/2565 ยังเร่งตัวแกร่งจากงวดเดียวกันของปีก่อน จากทิศทางรายได้เดือน เม.ย.-พ.ค. ที่ยังแข็งแรงโดยเฉพาะการรักษาโรคซับซ้อนที่เพิ่มขึ้น ซึ่งผู้บริหารคาดว่าเป้ารายได้ปีนี้เพิ่มขึ้น 20% จากงวดเดียวกันของปีก่อน ดีกว่าที่เคยประเมินช่วงต้นปีจากทั้งรายได้ผู้ป่วยต่างชาติและไทยที่ฟื้นตัว ส่วนเงินเฟ้อกระทบจากัดต่อ PR9 จากราคาที่ยังถูกกว่าโรงพยาบาลระดับใกล้เคียงกันอื่นๆ คาดกำไรปี 2565 เพิ่มขึ้น 65% จากงวดเดียวกันของปีก่อน โดยเริ่มเก็บเกี่ยวประโยชน์จากการลงทุนอาคารใหม่เต็มที่ แนะนำราคาเป้าหมายจาก FSSIA ที่ 16.50 บาท

บริษัท เซ็ปเป้ จำกัด (มหาชน) หรือ SAPPE คาดกำไรสุทธิไตรมาส 2/2565 จะเร่งตัวขึ้นทำจุดสูงสุดใหม่จากการเติบโตของตลาดส่งออกที่เริ่มออกดอกออกผลอย่างมีนัยสำคัญ ปัจจุบันส่งออกไปกว่า 98 ประเทศทั่วโลก มีสัดส่วนรายได้ส่งออก 65% จึงได้ผลบวกจากบาทอ่อนค่า โดยผู้บริหารตั้งเป้ารายได้ 5 ปีข้างหน้าเติบโตปีละ 22% แตะ 1 หมื่นล้านบาทในปี 2569 ซึ่งทางฝ่ายวิจัยมองอินเดียจะกลายเป็น Rising Star ของบริษัท เริ่มเห็นการเติบโตเร่งตัวขึ้นใน 1-2 ไตรมาสที่ผ่านมา เป็นตลาดที่มีศักยภาพมากทั้งในแง่จำนวนประชากร และมีแผนขยายกำลังการผลิตครั้งใหญ่ในปี 2567-2568 ฐานะการเงินแข็งแกร่ง ไม่มีหนี้เงินกู้ยืมธนาคารและคาด Dividend Yield สูงราว 5-6% ต่อปี ทั้งนี้ประมาณการกำไรและราคาเป้าหมายยังมี Upside จากตลาดอินเดีย ซึ่งยังไม่ได้รวมไว้ในประมาณการ แนะนำราคาเป้าหมาย 38 บาท

บริษัท เอส โฮเทล แอนด์ รีสอร์ท จำกัด (มหาชน) หรือ SHR มีโมเมนตัมการฟื้นตัวยังดีต่อเนื่องโดย Occupancy Rate ไตรมาส 2/2565 จนถึงปัจจุบันยังฟื้นตัวได้ต่อเนื่อง ขณะที่ ADR ปรับตัวขึ้นอย่างโดดเด่นและคาดชดเชยฝั่งต้นทุนที่เพิ่มได้ทั้งหมด ได้อานิสงส์จากการเปิดประเทศในครึ่งปีหลัง 2565 บริษัทประเมินว่ารายได้จะปรับตัวขึ้น 3 เท่าในปี 2568 ทั้งสินทรัพย์โรงแรมเดิมที่เติบโต การเปิดโรงแรมใหม่ รวมถึงดีล M&A ในอนาคตด้วยวงเงินลงทุน 4.50 พันล้านบาท ปัจจุบัน Valuation อยู่ในระดับต่ำเทียบกับคู่แข่งโดยเทรด PBV เพียง 1 เท่า เทียบกับกลุ่มที่ส่วนใหญ่เทรดราว 2.50-3 เท่า แนะนำราคาเป้าหมายจาก FSSIA ที่ 5.20 บาท

บริษัท เอสไอเอสบี จำกัด (มหาชน) หรือ SISB ทางฝ่ายวิจัยคาดกำไรจะกลับมาเร่งตัวและเป็นขาขึ้นจากไตรมาสก่อน และจากงวดเดียวกันของปีก่อนชัดเจนในไตรมาส 2/2565 หลังกลับมาเปิดทำการเรียนการสอนปกติส่งผลให้จำนวนนักเรียนปรับตัวเพิ่มขึ้นอีกครั้งโดยเฉพาะเด็กเล็ก รวมถึงแรงหนุนจากการปรับขึ้นค่าธรรมเนียมการศึกษาหลังให้ส่วนลดในช่วง COVID-19 หนุนกำไรโตต่อเนื่องในครึ่งปีหลัง 2565 และการเติบโตถูกรองรับด้วยการเปิด 2 Campus ใหม่ที่นนทบุรีที่การแข่งขันไม่สูงและระยองที่ประชากรมีรายได้ต่อหัวสูงเป็นอันดับ 2 ของประเทศซึ่งเป็นตลาดที่มีศักยภาพ ทางฝ่ายวิจัยประเมินกำไรปี 2565-2569 กลับสู่ช่วงเติบโตอีกครั้งที่ 29% CAGR แนะนำราคาเป้าหมาย 15 บาท

บริษัท ไทยฟู้ดส์ กรุ๊ป จำกัด (มหาชน) หรือ TFG มีแนวโน้มกำไรจะเร่งขึ้นต่อในไตรมาส 2-3/2565 ทั้งจากปัจจัยฤดูกาล ปริมาณขายฟื้นตัวทั้งในประเทศและตลาดส่งออก รวมถึงราคาเนื้อสัตว์ยังปรับตัวสูงขึ้นได้ดีทั้งราคาไก่หน้าฟาร์มล่าสุดขยับขึ้นแตะระดับ 45 บาท/กก. และราคาหมูมีชีวิตทั้งตัวขยับขึ้น 100-110 บาท/กก. แล้ว ซึ่งปรับขึ้นได้มากกว่าต้นทุนวัตถุดิบอาหารสัตว์ ขณะที่มีรายได้ส่งออกไก่ราว 15% ของรายได้รวมคาดได้ผลบวกจากบาทอ่อน ทางฝ่ายวิจัยคาดแนวโน้มราคาเนื้อสัตว์ทรงตัวสูงขึ้นในช่วงครึ่งปีหลัง 2565 ส่วนหนึ่งเป็นผลจาก ASF ที่เกิดขึ้นตั้งแต่ช่วงต้นปี 2565 ทำให้ผลผลิตหมูในไทยลดลงราว 20% และคาดต้องใช้เวลาราว 1.50-2 ปี กว่าผลผลิตจะกลับมาสู่ระดับปกติอีกครั้ง ซึ่งทางฝ่ายวิจัยมีแนวโน้มปรับเพิ่มประมาณการกำไรและราคาเป้าหมาย เบื้องต้นอาจขยับมาอยู่ในกรอบ 6.50-70 บาท อย่างไรก็ตามราคาหุ้นได้ปรับขึ้นมาเร็วจึงแนะนำรอซื้ออ่อนตัว ราคาเป้าหมาย 6.30 บาท

Back to top button