พาราสาวะถีอรชุน
เห็นบรรยากาศเลือกตั้งที่คึกคักของเมียนมาร์เพื่อนบ้านใกล้เคียงกันแล้ว ไม่ทราบว่าคนไทยรู้สึกอย่างไร แต่อย่างหนึ่งซึ่งยืนยันได้นั่นก็คือ การปิดประเทศไม่ใช่ทางออกที่ถูกต้องแน่นอน หลังจากนี้ไปต้องจับตาดูต่อกับผลเลือกตั้งและกระบวนการเลือกประธานาธิบดีที่จะมีข้อยุติประมาณเดือนกุมภาพันธ์ปีหน้า ส่วนออง ซาน ซูจี สตรีที่เป็นหนึ่งในดวงใจของคนพม่าหมดโอกาสที่จะไปถึงจุดนั้น
เห็นบรรยากาศเลือกตั้งที่คึกคักของเมียนมาร์เพื่อนบ้านใกล้เคียงกันแล้ว ไม่ทราบว่าคนไทยรู้สึกอย่างไร แต่อย่างหนึ่งซึ่งยืนยันได้นั่นก็คือ การปิดประเทศไม่ใช่ทางออกที่ถูกต้องแน่นอน หลังจากนี้ไปต้องจับตาดูต่อกับผลเลือกตั้งและกระบวนการเลือกประธานาธิบดีที่จะมีข้อยุติประมาณเดือนกุมภาพันธ์ปีหน้า ส่วนออง ซาน ซูจี สตรีที่เป็นหนึ่งในดวงใจของคนพม่าหมดโอกาสที่จะไปถึงจุดนั้น
อันเป็นผลสืบเนื่องมาจากรัฐธรรมนูญที่บัญญัติไว้ห้ามผู้ที่มีคู่สมรสหรือบุตรที่ถือสัญชาติอื่นขึ้นเป็นผู้นำประเทศ แต่กว่าจะเดินทางไปถึงยังมีเวลาอีกหลายเดือน ผลของการเลือกตั้งคาดว่าอาจจะมีการแก้ไขข้อห้ามบางอย่างเพื่อไม่ให้ประเทศเกิดวิกฤติ ผิดกับบางประเทศที่รู้อยู่ว่าหากดันทุรังเรื่องที่คนส่วนใหญ่ไม่ยอมรับจะเป็นปัญหา แต่ก็ยังก้มหน้าก้มตาผลักดันกันต่อไป
ปมว่าด้วยที่มาส.ส.ที่กรธ.กำลังขะมักเขม้นเข็นกันให้เป็นที่ยอมรับ คงไม่มีอะไรพลิกผันเมื่อนั่งยันนอนยันโดย มีชัย ฤชุพันธุ์ เนติบริกรระดับเทพ คนที่ถนัดเขียนตามความต้องการของคณะรัฐประหารมาหลายยุคหลายสมัย กับเรื่องแค่นี้คงไม่ทำให้หวั่นไหว ยิ่งได้ลูกคู่อย่าง วิษณุ เครืองาม ช่วยตอกย้ำซ้ำเข้าไปอีก วาระที่ปกปิดไว้ก่อนหน้าจึงเปิดเผยให้เห็นกันจะจะ
จากส.ส.ระบบจัดสรรปันส่วนผสม ก้าวต่อไปก็คือ ที่มาส.ว.อย่างที่บอกไว้แต่ต้นจะเป็นบทพิสูจน์น้ำคำของคนที่อยู่ในอำนาจว่าจริงใจต่อเสียงสวรรค์ของประชาชนหรือแค่สร้างวาทกรรมลวงโลก หากเห็นว่าต้องยึดโยงกับประชาชนย่อมกำหนดให้วุฒิสภามาจากการเลือกตั้งทั้งหมด แต่หากมีลากตั้งมากกว่าเลือกตั้งแค่เป็นพิธี นี่ก็จะเป็นการย้อนแย้งต่อตรรกะที่มีชัยและวิษณุช่วยกันแถเรื่องระบบเลือกตั้งส.ส.ได้เป็นอย่างดี
ไม่เพียงเท่านั้นยังมีเรื่องที่มาของนายกรัฐมนตรี ที่ไม่บอกก็รู้ว่าต้องหาทางเขียนเพื่อเปิดช่องให้มีคนนอกเข้ามาเป็นผู้นำประเทศ ลงทุนเขียนที่มาส.ส.กันถึงขนาดนั้นแล้ว จะปล่อยให้โอกาสทองเช่นนี้หลุดลอยเพียงแค่เกรงข้อครหาหรือเสียงคัดค้านไปได้อย่างไร เช่นเดียวกันกับคณะกรรมการยุทธศาสตร์การปรองดองและการปฏิรูปแห่งชาติหรือคปป. คงต้องยัดกันมาให้ได้
ในบริบทการเมืองที่อ่านหน้าไพ่กันไม่ยาก นับวันยิ่งมีความชัดเจนว่า กระบวนการที่ดำเนินการกันอยู่เป็นเรื่องของการไล่ล่าอีกฝ่ายหนึ่งให้สิ้นซาก ทั้งการใช้อำนาจพิเศษและผ่านการร่างรัฐธรรมนูญ โดยเฉพาะวิธีหลังเป็นการตีกันอีกฝ่ายไม่ให้กลับมามีอำนาจอย่างชัดเจน เพียงแต่ว่า จะทำอย่างไรไม่ให้ผลแห่งการกระทำเพื่อมุ่งหวังทำลายคนกลุ่มหนึ่งไปกระทบกับคนอีกพวกที่ถือว่าสนับสนุนอุ้มชูกันมาโดยตลอด
ด้วยเหตุและปัจจัยเช่นนี้ จึงได้ย้ำมาโดยตลอดว่า เป็นการยากที่จะเห็นบ้านเมืองเกิดความปรองดอง มีความรักสามัคคีกันของคนในชาติเข้าทำนองยิ่งต้องการขจัดความขัดแย้งแต่กลับเป็นการสร้างความแตกแยกให้ร้าวลึกหนักเข้าไปอีกตราบใดที่คนซึ่งอ้างตัวว่าเป็นกรรมการยังวางตัวเป็นกลางไม่ได้ ก็คงไม่มีทางที่บ้านนี้เมืองนี้จะมีความสมานฉันท์เกิดขึ้น
ความพยายามที่จะแก้ไขในเรื่องต่างๆ ยกเว้นความมั่นคงและความสงบ มาถึงนาทีนี้ยังมองไม่เห็นว่าจะใกล้เคียงกับความเป็นจริง โดยเฉพาะอย่างยิ่งกรณีการปราบปรามคอร์รัปชั่น ล่าสุด ก็เป็นคิวของพันเอกที่ถูกออกหมายจับในข้อหาแอบอ้างเบื้องสูง กระทำผิดมาตรา 112 ร่วมแก๊งหมอหยอง ของอย่างนี้แม้จะไม่เกี่ยวกับการทุจริตในอำนาจหน้าที่และเกี่ยวพันกับกองทัพโดยตรง แต่ในยามที่บ้านเมืองถูกปกครองด้วยอำนาจพิเศษ ไม่ควรจะเกิดเรื่องเช่นนี้ขึ้น
สิ่งสำคัญที่จะปฏิเสธไม่ได้คือการขุดคุ้ยของสื่อทุกแขนง หากพบว่าคนทำผิดไปเกี่ยวพันกับผู้หลักผู้ใหญ่ที่มีอำนาจในเวลานี้ ถึงจะปฏิเสธว่าไม่มีส่วนรู้เห็น แต่ก็เป็นเรื่องของบริวารเป็นพิษทำให้นายมัวหมอง จึงต้องกำหนดมาตรการเด็ดขาดและสร้างบทลงโทษที่มันต่างจากคนทั่วไปหรือไม่ เพื่อให้เกิดบรรทัดฐาน ทหารยุคนี้ต้องไม่มีทุจริตคดโกง
ส่วนที่จะไปหวังกระบวนการตรวจสอบจากองค์กรอิสระ ในยามนี้ต้องยอมรับว่าความน่าเชื่อถือเหลือน้อยเต็มทน ขนาดคนกันเองอย่าง วิลาศ จันทร์พิทักษ์ อดีตส.ส.ประชาธิปัตย์ ยังไปยื่นหนังสือเรียกร้องต่อกรธ.ให้ปฏิรูปองค์กรอิสระ ที่หยิบยกมาเป็นหนึ่งในตัวอย่างคือ องค์กรอิสระต้องยกเลิกการอบรมหลักสูตรต่างๆ เพราะจะเป็นการเอื้อต่อการให้ผู้เข้าร่วมอบรมไปตีสนิทกับคณะกรรมการหรือองค์กรนั้นๆ
อาจเกิดการล็อบบี้ แทรกแซงเข้าไปเป็นอนุกรรมการไต่สวน เช่น กรณีที่ วิชา มหาคุณ กรรมการป.ป.ช. ตั้งมูลนิธิต่อต้านการทุจริต ที่เห็นว่าผู้ที่ไปเข้าร่วมมูลนิธิดังกล่าวมีประวัติไม่น่าไว้วางใจ ในมุมของวิลาศก็ไม่รู้ว่าหมายถึงใคร และไม่เชื่อว่าคนอย่างวิชา จะไม่รู้กำพืดของคนที่มาร่วมงานกับตัวเองเชียวหรือ เว้นเสียแต่จะหลิ่วตาข้างเพราะผูกพันกันมาด้วยเรื่องอย่างอื่น
คงไม่ต่างจาก ประมนต์ สุธีวงศ์ ประธานองค์กรต่อต้านคอร์รัปชั่น ประเทศไทย ที่ร่วมก่อตั้งมูลนิธิดังกล่าว ซึ่งอ้างว่าประเทศไทยถูกตีตรา “ห่วย” ในการป้องกันและปราบปรามคอร์รัปชั่นเมื่อเปรียบเทียบกับเพื่อนบ้าน มันจะไม่เป็นเช่นนั้นได้อย่างไร ขนาดคนที่ตรวจสอบเรื่องทุจริตอย่างเข้มข้นในรัฐบาลของระบอบทักษิณ แต่ถึงยุคนี้กลับเงียบเชียบผิดปกติ
เอาแค่กรณีโครงการตำบลละ 5 ล้านบาท อย่าบอกว่าประมนต์ไม่รู้ข้อมูล ถึงขั้นที่มีการย้ายนายอำเภอสังเวยกันแล้ว ย่อมแสดงให้เห็นว่าโครงการนี้มีกลิ่นไม่ดีและเกิดความไม่โปร่งใสตั้งแต่เริ่มต้น นี่คือความจริงที่ว่า การแก้ปัญหาคอร์รัปชั่นไม่ใช่มองแต่คนโกงด้วยอคติเท่านั้น แต่ผู้ตรวจสอบจะต้องโปร่งใส เป็นธรรมด้วย
โดยเฉพาะอย่างยิ่ง ผู้มีอำนาจต้องใสสะอาดและตรวจสอบได้เช่นกัน ไม่ว่าหน่วยงานใด การเปิดเผยบัญชีทรัพย์สิน คนที่เข้าไปอยู่ในองคาพยพแม่น้ำ 5 สายบางส่วนที่ได้รับการยกเว้นควรตรวจสอบได้ จะมาอ้างเหตุผลอย่างหนึ่งอย่างใดคงฟังไม่ขึ้น เพราะคนที่เข้าไปอยู่ในอำนาจไม่ว่าจะด้วยวิธีใดต้องกล้าที่จะถูกตรวจสอบการที่องค์กรอิสระที่มีหน้าที่ตรวจสอบคอยปกป้องยิ่งสะท้อนคำว่า “สองมาตรฐาน” หนักข้อเข้าไปอีก