“ดาวโจนส์” ปิดพุ่ง 300 จุด นักลงทุนประเดิมซื้อหุ้นวันแรกไตรมาส 3
“ดาวโจนส์” ปิดพุ่ง 300 จุด นักลงทุนประเดิมซื้อหุ้นวันแรกไตรมาส 3 หลังดัชนีดิ่งกว่า 15% ครึ่งแรกปีนี้ ส่วน S&P 500 ร่วงกว่า 20% ต่ำสุดในรอบกว่า 50 ปี
ผู้สื่อข่าวรายงานว่า ดัชนีดาวโจนส์ตลาดหุ้นนิวยอร์กปิดดีดตัวขึ้นอย่างมากในวันศุกร์ (1 ก.ค.) ท่ามกลางการซื้อขายที่เบาบาง เนื่องจากนักลงทุนได้เข้าซื้อหุ้นในวันแรกของช่วงครึ่งปีหลังก่อนวันหยุดยาวในช่วงสุดสัปดาห์นี้ โดยตลาดจะปิดทำการในวันจันทร์ที่ 4 ก.ค. เนื่องในวันชาติสหรัฐ
โดยดัชนีเฉลี่ยอุตสาหกรรมดาวโจนส์ปิดที่ 31,097.26 จุด เพิ่มขึ้น 321.83 จุด หรือ +1.05%, ดัชนี S&P500 ปิดที่ 3,825.33 จุด เพิ่มขึ้น 39.95 จุด หรือ +1.06% และดัชนี Nasdaq ปิดที่ 11,127.85 จุด เพิ่มขึ้น 99.11 จุด หรือ +0.90%
ทั้งนี้ดัชนีดาวโจนส์ดิ่งลง 11.3% ในไตรมาส 2 ขณะที่ S&P 500 ร่วงลงมากกว่า 16% ทำสถิติปรับตัวย่ำแย่ที่สุดเทียบรายไตรมาสนับตั้งแต่ไตรมาสแรกของปี 2563 ส่วน Nasdaq ทรุดตัวลง 22.4% ทำสถิติย่ำแย่ที่สุดนับตั้งแต่ปี 2551
นอกจากนี้ดัชนีดาวโจนส์ดิ่งลงมากกว่า 15% ในช่วงครึ่งปีแรก ส่วน S&P 500 ร่วงลงมากกว่า 20% ซึ่งเป็นการปรับตัวลงมากที่สุดในรอบกว่า 50 ปี หรือนับตั้งแต่ปี 2513 ขณะที่ Nasdaq ทรุดตัวลงเกือบ 30%
อย่างไรก็ตามวานนี้(1ก.ค.65)หุ้นทั้ง 11 กลุ่มในดัชนี S&P500 ปิดบวก โดยกลุ่มสาธารณูปโภคปรับตัวขึ้นมากที่สุดเมื่อคิดเป็นเปอร์เซ็นต์ แต่หุ้นบริษัทผลิตชิปยังคงร่วงลงอย่างหนัก หลังจากบริษัทไมครอน เทคโนโลยี เตือนเกี่ยวกับอุปสงค์ที่ชะลอตัว โดยหุ้นไมครอนร่วงลง 2.9% และดัชนีหุ้นกลุ่มเซมิคอนดักเตอร์ที่ตลาดฟิลาเดลเฟียร่วงลง 3.8%
สำหรับทิศทางตลาดในระยะต่อไปนั้น บรรดานักลงทุนจะจับตาการเปิดเผยผลประกอบการไตรมาส 2 ของบริษัทจดทะเบียน, รายงานการจ้างงานเดือนมิ.ย.ของสหรัฐ และการประชุมนโยบายการเงินของธนาคารกลางสหรัฐ (เฟด) ในเดือนก.ค.นี้
นักวิเคราะห์คาดว่า แนวโน้มผลกำไรของบริษัทจดทะเบียนจะได้รับผลกระทบจากเงินเฟ้อที่พุ่งขึ้น และอุปสงค์ของผู้บริโภคที่ลดลง
ด้านข้อมูลจากรีฟินิทีฟระบุว่า บรรดานักวิเคราะห์คาดว่า ผลประกอบการของบริษัทจดทะเบียนในไตรมาส 2 จะขยายตัว 5.6% ลดลงจาก 6.8% ที่คาดไว้ในช่วงต้นไตรมาส
สำหรับข้อมูลเศรษฐกิจของสหรัฐที่มีการเปิดเผยในวันศุกร์นั้น เอสแอนด์พี โกลบอลเปิดเผยว่า ดัชนีผู้จัดการฝ่ายจัดซื้อ (PMI) ภาคการผลิตขั้นสุดท้ายของสหรัฐ ปรับตัวลงสู่ระดับ 52.7 ในเดือนมิ.ย. ซึ่งเป็นระดับต่ำสุดในรอบเกือบ 2 ปี หรือนับตั้งแต่เดือนก.ค. 2563 และต่ำกว่าระดับ 57.0 ในเดือนพ.ค. แต่สูงกว่าตัวเลขเบื้องต้นที่ระดับ 52.4
ดัชนี PMI ได้รับผลกระทบจากการชะลอตัวของคำสั่งซื้อใหม่ ท่ามกลางการลดลงของอุปสงค์จากลูกค้าต่างประเทศ ขณะที่ความเชื่อมั่นของภาคธุรกิจร่วงลงแตะระดับต่ำสุดนับตั้งแต่เดือนต.ค. 2563 แม้ว่าการจ้างงานปรับตัวขึ้น อย่างไรก็ดี ดัชนี PMI ยังคงอยู่เหนือระดับ 50 ซึ่งบ่งชี้ถึงการขยายตัวของภาคการผลิตของสหรัฐ
ส่วนสถาบันจัดการด้านอุปทานของสหรัฐ (ISM) เปิดเผยว่า ดัชนีภาคการผลิตของสหรัฐดิ่งลงสู่ระดับ 53.0 ในเดือนมิ.ย. ซึ่งเป็นระดับต่ำสุดในรอบ 2 ปี หรือนับตั้งแต่เดือนมิ.ย. 2563 และต่ำกว่าที่นักวิเคราะห์คาดการณ์ที่ระดับ 54.9 จากระดับ 56.1 ในเดือนพ.ค.
ดัชนีภาคการผลิตได้รับผลกระทบจากการชะลอตัวของคำสั่งซื้อใหม่ ซึ่งหดตัวลงเป็นครั้งแรกในรอบ 2 ปี ขณะที่การจ้างงานปรับตัวลงเช่นกัน อย่างไรก็ดี ดัชนียังอยู่สูงกว่าระดับ 50 ซึ่งบ่งชี้ว่าภาคการผลิตของสหรัฐยังคงมีการขยายตัว