ส.อ.ท.แนะรัฐต่ออายุตรึง “ภาษีน้ำมันดีเซล” ลดผลกระทบต้นทุน
ส.อ.ท. เรียกร้องรัฐบาลขยายเวลาลดภาษีสรรพสามิตน้ำมันดีเซล 5 บาท/ลิตร ออกไปอีก 2-3 เดือน หลัง ราคาพลังงานดันต้นทุนการผลิตเพิ่ม 20% ต้องหั่นกำไรรักษายอดขาย พร้อมคาดแนวโน้มราคาน้ำมันดิบโลกช่วงครึ่งปีหลังของปี 2565 ยังแตะ 120 ดอลลาร์ต่อบาร์เรล
นายมนตรี มหาพฤกษ์พงศ์ รองประธานสภาอุตสาหกรรมแห่งประเทศไทย หรือ ส.อ.ท. เปิดเผยผลการสำรวจ FTI Poll ในเดือนมิถุนายน 2565 ภายใต้หัวข้อ “ภาคอุตสาหกรรมจะรับมือกับวิกฤตพลังงานแพงอย่างไร” มองว่าจากวิกฤตความขัดแย้งระหว่างรัสเซีย-ยูเครน ทำให้ราคาน้ำมันเชื้อเพลิงและก๊าซธรรมชาติปรับตัวสูงขึ้นต่อเนื่อง ส่งผลทำให้ภาคอุตสาหกรรมต้องแบกรับภาระต้นทุนการผลิตเพิ่มขึ้นกว่า 20% สวนทางกับการปรับราคาขายสินค้าและบริการในช่วงที่ผ่านมา ที่มีการปรับเพิ่มขึ้นได้น้อยกว่า 10% เนื่องจากต้องการรักษายอดขาย ขีดความสามารถในการแข่งขันในตลาด รวมทั้งการปฏิบัติตามมาตรการควบคุมราคาสินค้าของรัฐ
โดยผู้บริหาร ส.อ.ท. คาดว่าแนวโน้มราคาน้ำมันดิบโลกช่วงครึ่งปีหลังของปี 2565 จะยังคงทรงตัวอยู่ในระดับ 120-140 ดอลลาร์ต่อบาร์เรล จากภาวะสงครามที่ยืดเยื้อประกอบกับมาตรการตอบโต้ระหว่างชาติตะวันตกและรัสเซียที่มีความเข้มข้นมากขึ้น โดยเฉพาะการที่สหภาพยุโรป (EU) มีมติระงับการนำเข้าน้ำมันจากรัสเซีย 90% ภายในสิ้นปีนี้
ทำให้ผู้บริหาร ส.อ.ท. จึงเสนอขอให้ภาครัฐพิจารณาขยายเวลาลดภาษีสรรพสามิตน้ำมันดีเซล 5 บาทต่อลิตร ที่กำลังจะสิ้นสุดในวันที่ 20 กรกฎาคม 2565 ออกไปอีก 2-3 เดือน เพื่อบรรเทาความเดือดร้อนของประชาชนและช่วยลดภาระต้นทุนการผลิตของผู้ประกอบการ
ส่วนมาตรการแก้ไขปัญหาวิกฤตพลังงานในระยะยาว ภาครัฐควรมีการส่งเสริมและอำนวยความสะดวกให้เกิดการใช้พลังงานหมุนเวียนในภาคธุรกิจและภาคประชาชน สนับสนุนให้เกิดการนำนวัตกรรมและเทคโนโลยีมาใช้เพิ่มประสิทธิภาพและลดการใช้พลังงานในภาคการผลิต ควบคู่ไปกับการทบทวนโครงสร้างราคาพลังงานให้เป็นธรรมต่อทุกฝ่าย
นอกจากนี้ยังได้แนะนำให้ผู้ประกอบการภาคอุตสาหกรรมเร่งปรับตัวรับมือกับวิกฤตพลังงานด้วยการลงทุนผลิตไฟฟ้าจากพลังงานหมุนเวียนใช้เองภายในโรงงาน ปรับปรุงเครื่องจักรและอุปกรณ์เพื่อการอนุรักษ์พลังงาน รวมทั้งนำระบบการบริหารจัดการพลังงาน (Energy Management System : EMS) มาใช้และปรับแผนการผลิต/โลจิสติกส์เพื่อลดต้นทุนพลังงานในช่วงนี้
จากการสำรวจผู้บริหาร ส.อ.ท. (CEO Survey) จำนวน 165 ท่าน ครอบคลุมผู้บริหารจาก 45 กลุ่มอุตสาหกรรม และ 76 สภาอุตสาหกรรมจังหวัด มีสรุปผลการสำรวจ FTI Poll ครั้งที่ 18 จำนวน 6 คำถามดังนี้
1.ภาวะราคาพลังงานแพงในปัจจุบัน ส่งผลกระทบต่อต้นทุนการผลิตอย่างไร อันดับที่ 1 : ต้นทุนเพิ่มขึ้น 20% ที่ 38.8% อันดับที่ 2 : ต้นทุนเพิ่มขึ้น 10% ที่ 30.3% อันดับที่ 3 : ต้นทุนเพิ่มขึ้น 30% ที่ 23.0% อันดับที่ 4 : ต้นทุนเพิ่มขึ้น 40% ที่ 7.9%
2.ผลกระทบของต้นทุนราคาพลังงานและวัตถุดิบแพง ทำให้อุตสาหกรรมท่านต้องปรับราคาขายสินค้าและบริการเพิ่มขึ้นแล้วเท่าใด เมื่อเปรียบเทียบกับช่วงต้นปี 2565 อันดับที่ 1 : ปรับราคาเพิ่มขึ้น น้อยกว่า 10% ที่ 44.9% อันดับที่ 2 : ปรับราคาเพิ่มขึ้น 10-20% ที่ 38.8% อันดับที่ 3 : ปรับราคาเพิ่มขึ้น 20-30% ที่ 12.7% อันดับที่ 4 : ปรับราคาเพิ่มขึ้น มากกว่า 30% ที่ 3.6%
3.แนวทางการดำเนินงานในเรื่องใดที่ท่านคิดว่าจะช่วยลดผลกระทบจากราคาพลังงานแพงในช่วงนี้ อันดับที่ 1 : ขยายเวลาลดภาษีสรรพสามิตน้ำมันดีเซล 5 บาทต่อลิตร 62.4% อันดับที่ 2 : ขอความร่วมมือโรงกลั่นฯ ลดกำไรจากค่าการกลั่นและนำมาช่วยลด 60.6% ราคาน้ำมันสำเร็จรูป อันดับที่ 3 : รณรงค์และดำเนินโครงการให้ทุกภาคส่วนประหยัดและลดการใช้พลังงาน 60.0% อันดับที่ 4 : เจรจานำเข้าน้ำมันเชื้อเพลิงและก๊าซธรรมชาติจากรัสเซีย 55.2%
4.ภาครัฐควรดำเนินการเพื่อป้องกันปัญหาวิกฤตพลังงานในระยะยาวอย่างไร อันดับที่ 1 : ส่งเสริมให้เกิดการใช้พลังงานหมุนเวียนในภาคธุรกิจและภาคประชาชน 76.4% อันดับที่ 2 : สนับสนุนการนำนวัตกรรมและเทคโนโลยีมาใช้เพื่อเพิ่มประสิทธิภาพ 73.9% และประหยัดพลังงาน อันดับที่ 3 : ทบทวนโครงสร้างราคาพลังงานให้เป็นธรรมต่อทุกฝ่าย 61.8% อันดับที่ 4 : ผลักดันการใช้รถยนต์ไฟฟ้า (EV) ในภาคขนส่งเต็มรูปแบบ 58.8%
5.ภาคอุตสาหกรรมควรมีการปรับตัวรับมือกับราคาพลังงานที่ปรับตัวสูงขึ้นอย่างไร อันดับที่ 1 : การผลิตไฟฟ้าจากพลังงานหมุนเวียนใช้ภายในโรงงาน 69.7% อันดับที่ 2 : ปรับปรุงเครื่องจักรและอุปกรณ์เพื่อการอนุรักษ์พลังงาน 67.9% อันดับที่ 3 : นำระบบการบริหารจัดการพลังงาน (EMS) มาใช้ 60.0% และปรับแผนการผลิต/โลจิสติกส์เพื่อลดต้นทุนพลังงาน อันดับที่ 4 : ส่งเสริมการใช้การขนส่งหลายรูปแบบ (Multimodal Transport) 50.9% เช่น ระบบราง, เรือ และทางรถ
6.คาดการณ์แนวโน้มราคาน้ำมันดิบโลกช่วงครึ่งปีหลังของปี 2565 อันดับที่ 1 : 120-140 ดอลลาร์ต่อบาร์เรล 44.3% อันดับที่ 2 : 100-120 ดอลลาร์ต่อบาร์เรล 33.3% อันดับที่ 3 : มากกว่า 140 ดอลลาร์ต่อบาร์เรล 18.8% อันดับที่ 4 : ต่ำกว่า 100 ดอลลาร์ต่อบาร์เรล 3.6%