พาราสาวะถี
การที่พรรคฝ่ายกุมอำนาจแตกแบงก์กันมากเท่าไหร่ ก็เท่ากับเป็นการตัดคะแนนเสียงกันเอง และฐานคะแนนที่เคยสนับสนุนกันก่อนหน้านั้นนับวันยิ่งร่อยหรอลง
พรรคร่วมฝ่ายค้านประกาศความชัดเจนมาแล้วเรื่องตัวรัฐมนตรีที่ถูกซักฟอก ซึ่งจะประเดิมรายแรกคือ อนุทิน ชาญวีรกูล รองนายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงสาธารณสุข ในฐานะหัวหน้าพรรคภูมิใจไทย ตามมาด้วย ศักดิ์สยาม ชิดชอบ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงคมนาคมและเลขาธิการพรรคภูมิใจไทย การจับมัดเป็นแพ็คคู่เช่นนี้ แน่นอนว่า หนีไม่พ้นสิ่งที่พรรคฝ่ายค้านจะฉายภาพให้ประชาชนเห็นคือ การแจกกล้วย ซื้อตัว ส.ส.เพื่อให้เปลี่ยนสีเสื้อ ที่ตอนนี้มีทั้งจากเพื่อไทยและก้าวไกลที่รอจังหวะย้ายคอก
ทั้งนี้ รัฐมนตรีกลุ่มที่จะถูกอภิปรายวันแรกนั้น นอกจากสองรายของภูมิใจไทยแล้ว ก็ยังมี สุชาติ ชมกลิ่น รัฐมนตรีแรงงานของพรรคสืบทอดอำนาจ และสองรัฐมนตรีจากประชาธิปัตย์คือ จุรินทร์ ลักษณวิศิษฎ์ รองนายกฯ และรัฐมนตรีว่าการกระทรวงพาณิชย์ กับ จุติ ไกรฤกษ์ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการพัฒนาสังคมและความมั่นคงของมนุษย์ เมื่อมองในมิติทางการเมืองแล้ว ในวันแรกนี้จะเป็นการจี้ให้เห็นถึงการทำให้ภาพลักษณ์ทางการเมืองเสียหายจากพลังการดูด และการรวมหัวกันหนุนเผด็จการสืบทอดอำนาจ
รวมไปถึงการใช้กลไกของอำนาจในเก้าอี้รัฐมนตรีเพื่อเอื้อประโยชน์ให้พวกพ้องผ่านโครงการลงทุนต่าง ๆ ของภาครัฐ โดยเฉพาะในพื้นที่ภาคอีสาน อย่างไรก็ตาม หากพิจารณาโดยภาพรวมแล้ว รัฐมนตรีชุดนี้ถือได้ว่าจะมีคะแนนเสียงโหวตผ่านการไว้วางใจได้สบายแน่นอน ขณะที่ในวันที่สองถือเป็นไฮไลท์ของรัฐมนตรีที่ต้องลุ้นชะตากรรมว่าจะได้รับเสียงไว้วางใจหรือไม่ หรือถ้าผ่านก็ไม่น่าจะจัดอยู่ในกลุ่มที่สมควรต้องพิจารณาเปลี่ยนตัว
โดยกลุ่มนี้มีเพียง พลเอกประวิตร วงษ์สุวรรณ รองนายกรัฐมนตรีและหัวหน้าพรรคสืบทอดอำนาจเท่านั้น ที่ไม่น่าจะมีปัญหา เพราะนอกจากเสียงหนุนจากพรรคร่วมรัฐบาลแล้ว ยังจะรวมไปถึง 18 เสียงของพรรคเศรษฐกิจไทยที่จะยกมือให้ด้วย รวมทั้งพรรคเล็กในนามกลุ่ม 16 ด้วย ส่วนที่เหลือไม่ว่าจะเป็น นิพนธ์ บุญญามณี รัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงมหาดไทย ชัยวุฒิ ธนาคมานุสรณ์ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงดิจิทัลเพื่อเศรษฐกิจและสังคม สันติ พร้อมพัฒน์ รัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงการคลัง และ พลเอกอนุพงษ์ เผ่าจินดา รัฐมนตรีว่าการกระทรวงมหาดไทย ต้องลุ้นกันตัวโก่ง
อย่างไรก็ตาม แหล่งข่าวที่ยืนยันได้ย้ำว่า การขู่จะไม่ยกมือหนุนรัฐมนตรีกลุ่มดังว่านี้ของกลุ่ม 16 สุดท้ายแล้วก็แค่เปิดทางให้เกิดการเจรจา จนปิดดีลกันเป็นที่น่าพอใจ ดังนั้น จึงไม่น่าเป็นห่วง เพียงแต่ว่า อาจมีบางรายที่พวกไม่สามารถยกมือไว้วางใจได้ อาจหันไปใช้วิธีการงดออกเสียงแทน ซึ่งน่าจับตาเป็นอย่างมากว่ารัฐมนตรีในกลุ่มนี้จะมีบางรายที่หลังเสร็จศึกซักฟอกจะเต็มไปด้วยบาดแผล จนในที่สุดผู้นำเผด็จการสืบทอดอำนาจจำเป็นที่จะต้องตัดใจให้เกิดการปรับ ครม.เป็นครั้งสุดท้าย
ส่วนตัวผู้นำเผด็จการสืบทอดอำนาจนั้นฝ่ายค้านจองกฐินไว้ 30 ชั่วโมง เรียกว่าจัดชุดใหญ่ไฟกระพริบกันเลยทีเดียวเพื่อให้สมกับยุทธการเด็ดหัวสอยนั่งร้าน ทั้งนี้ สิ่งที่น่าสนใจในการอภิปรายของฝ่ายค้านเที่ยวนี้นอกเหนือจากรัฐมนตรีที่จะถูกตีแผ่ประเด็นความผิดพลาด ล้มเหลวในการบริหารงาน การเอื้อประโยชน์พวกพ้อง การทุจริตคอร์รัปชันแล้ว ยังจะมีการอภิปรายชุดถลกหนังแก๊ง 3 ป.ด้วย เป้าหมายคือเพื่อขยี้ความขัดแย้งของ 3 พี่น้องให้ขยายวงเพิ่มมากขึ้น
งานนี้ แม้ว่าหลังประชุม ครม.เมื่อวันจันทร์ พี่น้อง 3 ป.จะปิดห้องสีเหลืองภายในทำเนียบรัฐบาลคุยกันเพื่อเตรียมความพร้อม แต่คณะทำงานของพรรคฝ่ายค้านก็เชื่อว่าชุดข้อมูลที่ได้มาว่าด้วยการแอบไปพูดคุย หรือวงเจรจาลับเพื่อประคับประคองสถานการณ์ทางการเมือง รวมไปถึงการนำพาพรรคสืบทอดอำนาจให้เดินอย่างไรหลังการเลือกตั้งครั้งหน้า อาจจะสร้างความร้าวฉานให้กับแก๊ง 3 ป.ได้ เพราะหลายเรื่องพี่ใหญ่ไปหารือ ตกลงเป็นการส่วนตัวโดยไม่บอกให้น้องทั้งสองคนได้รู้
จนถึงขณะนี้ประเด็นเรื่องพรรคการเมืองที่จะเป็นฐานในการการันตีการหวนคืนสู่เก้าอี้นายกรัฐมนตรีอีกครั้งหลังเลือกตั้งครั้งหน้าของผู้นำเผด็จการสืบทอดอำนาจ ก็ยังไม่ชัดเจนว่าพรรคสืบทอดอำนาจจะเสนอชื่อแคนดิเดตนายกฯ เพียงคนเดียวเหมือนที่ผ่านมาหรือไม่ เหตุผลสำคัญ คือ พี่ใหญ่ประเมินสถานการณ์ทางการเมืองร่วมกับนักเลือกตั้งที่ไม่ใช่สายตรงของผู้นำเผด็จการสืบทอดอำนาจแล้ว ขืนดันทุรังมีโอกาสสูงที่พรรคจะได้จำนวน ส.ส.น้อยกว่าพรรคอันดับรองอย่างก้าวไกลและภูมิใจไทยเสียอีก
ดังนั้น จึงเกิดอาการกั๊กไว้ก่อน กรณีนี้น้องเล็กและน้องรองก็ไม่สบายใจจนถึงขั้นไม่พอใจ ข่าวเรื่องพรรคของตัวเองอย่างรวมไทยสร้างชาติ ที่จะมีการประชุมใหญ่ในวันที่ 3 สิงหาคมนี้ และเป็นที่แน่นอนว่า พีระพันธุ์ สาลีรัฐวิภาค จะนั่งเป็นหัวหน้าพรรคนั้น จึงเป็นหนทางที่ผู้นำเผด็จการสืบทอดอำนาจจะเลือกเดินตีจากพรรคของพี่ใหญ่ รวมไปถึงข่าวว่าจะมีการตั้งอีกพรรคหนึ่งเป็นฐานของขบวนการสืบทอดอำนาจ ซึ่งจะมี พลตำรวจเอกจักรทิพย์ ชัยจินดา อดีต ผบ.ตร.เข้าไปกุมบังเหียน
หลังจากที่รัฐสภามีการโหวตใช้สูตรหาร 500 คำนวณ ส.ส.บัญชีรายชื่อ เพื่อสกัดแลนด์สไลด์จากฝั่งเพื่อไทย ไม่ใช่แค่ข่าวที่ว่าพรรคนายใหญ่เตรียมจะแตกแบงก์พันแยกไปตั้งพรรคครอบครัวเพื่อไทย ในการตามเก็บ ส.ส.จากสูตรพิสดารนี้ ฝ่ายกุมอำนาจและขบวนการสืบทอดอำนาจเอง ก็ต้องดิ้นเพื่อสลัดภาพของความตกต่ำในคะแนนนิยมเหมือนกัน หากยังรวมตัวกันอยู่พรรคเดียวก็มีแต่จะกอดคอกันเข้ารกเข้าพง แต่สูตรการเมืองเช่นนี้ ไม่ได้ทำให้คู่แข่งอย่างเพื่อไทยและก้าวไกลหนักใจแต่อย่างใด
การที่พรรคฝ่ายกุมอำนาจแตกแบงก์กันมากเท่าไหร่ ก็เท่ากับเป็นการไปตัดคะแนนเสียงกันเอง และฐานของคะแนนที่เคยสนับสนุนกันก่อนหน้านั้นนับวันยิ่งร่อยหรอลงไปทุกที อย่างไรก็ตาม จะมีการประเมินสถานการณ์กันอีกครั้งหลังศึกซักฟอก เพราะจุดนี้จะเป็นบทพิสูจน์ความจริงใจของนักเลือกตั้งแต่ละก๊ก แต่ละกลุ่ม พวกที่ลงทุนตกปลาในบ่อเพื่อนไว้ก่อนหน้านี้ก็จะใช้ช่วงเวลาดังกล่าวตรวจการบ้านเพื่อการันตีความเชื่อใจต่อกันอีกครั้ง อภิปรายไม่ไว้วางใจหนนี้จึงน่าติดตามเป็นอย่างยิ่งเพราะไม่ใช่แค่จะทำให้เกิดความเปลี่ยนแปลงในรัฐบาล แต่จะรวมไปถึงทุกพรรคที่ร่วมรัฐบาลด้วย