โบรกเชียร์ “ซื้อ” MEGA หลังราคาตอบรับ “เมียนมาเอฟเฟกต์” มองกำไร Q2 นิวไฮ 637 ลบ.
“บล.ฟินันเซีย” แนะนำ “ซื้อ” หุ้น MEGA ราคาเป้าหมาย 67 บาท หลังมองราคาปรับลงตอบรับ “เมียนมาเอฟเฟกต์” จน “พีอี” อยู่ระดับต่ำ ลุ้นกำไรไตรมาส 2/65 ทำนิวไฮ 637 ลบ. โต 26.2% จากปีก่อน
บริษัทหลักทรัพย์ ฟินันเซีย ไซรัส ออกบทวิเคราะห์ (22 ก.ค.65) ประเมินเกี่ยวกับ บริษัท เมก้า ไลฟ์ไซแอ็นซ์ จำกัด (มหาชน) หรือ MEGA คาดกำไรสุทธิไตรมาส 2/65 เดินหน้าทำสถิติสูงสุดใหม่ที่ 637.1 ล้านบาท โต 3.8% จากไตรมาสก่อน, โต 26.2% จากปีก่อน (กำไรปกติโต 1.6% จากไตรมาสก่อน, โต 35.6% จากปีก่อน) จากยอดขายที่เติบโตดีต่อเนื่องทุกตลาดตามเทรนด์การใส่ใจสุขภาพ การระบาดต่อเนื่องของ COVID-19 และค่าเงินบาทที่อ่อนค่า โดยในไตรมาสนี้อยู่ที่เฉลี่ย 34.3 บาทต่อดอลลาร์ อ่อนค่า 4.1% จากไตรมาสก่อน และ 9.7% จากปีก่อน
ทั้งนี้ คาดรายได้ที่ 3,979.0 ล้านบาท โต 4.2% จากไตรมาสก่อน, โต 10.7% จากปีก่อน สูงเกือบเท่ากับรายได้ในไตรมาส 3/64 ที่สูงเป็นประวัติการณ์ ธุรกิจ Brand Mega We Care คาดว่าจะยังโดดเด่นในทุกตลาด และมีสัดส่วน 51% ของราวได้รวม ซึ่งทำให้อัตรากำไรขั้นต้นยังอยู่ในระดับสูงใกล้เคียงไตรมาสก่อนคือ 44.0% (ธุรกิจ Brand มีอัตรากำไรขั้นต้นราว 66-69% สูงกว่าธุรกิจ Distribution ที่มีอัตรากำไรขั้นต้น 17-19%) และคาดว่าจะยังควบคุมค่าใช้จ่ายในการขายและบริหารได้อย่างมีประสิทธิภาพเช่นเดิม
โดยในช่วง 1 ปีเศษที่ผ่านมา ค่าใช้จ่ายดังกล่าวอยู่ที่ระดับ 900-1,000 ล้านบาท ต่อไตรมาส หรือ 25-27% ของรายได้ จึงคาดว่าจะมีอัตรากำไรสุทธิ 16.0% ต่อยอดขาย สูงใกล้เคียงไตรมาส 1/65 และสูงเป็นประวัติการณ์
ทั้งนี้ หากเป็นไปตามคาด MEGA จะมีกำไรสุทธิ 1,251.1 ล้านบาท โต 49.2% จากปีก่อน และคิดเป็น 56.3% ของประมาณการกำไรทั้งปีที่ 2,220.4 ล้านบาท โต 14.1% จากปีก่อน (คาดกำไรปกติ โต 21.4% จากปีก่อน) ผลการดำเนินงานของบริษัทเติบโตอย่างโดดเด่นมากในช่วงของการแพร่ระบาดของ COVID-19 ในปี 63-64 แม้ว่าการแพร่ระบาดจะหายไปในที่สุด แต่เชื่อว่า MEGA จะสร้างกำไรให้เติบโตต่อเนื่องได้เพราะฐานลูกค้าได้ขยายวงกว้างไปมาก และเชื่อว่าเทรนด์ใส่ใจสุขภาพเป็นเทรนด์ระยะยาว ยังคงประมาณการไว้ก่อนเผื่อยอดขายสินค้าอุปโภค FMCG ในเมียนมาร์อาจสะดุดในช่วงสั้น
ด้านราคาหุ้นปรับลงมาจากข่าวเมียนมาร์จนมี PE ที่ 19.5 เท่า EV/EBITDA 14.2 เท่า ต่ำกว่ากลุ่มค้าปลีกราว 25% และต่ำกว่า Blackmores (BKL AU) ที่มี PE และ EV/EBITDA 47.6 และ 16.8 เท่า ยังคงแนะนำ “ซื้อ” คงราคาเป้าหมาย 67 บาท