SCB บวกต่อ 3% ลุ้นปีนี้สินเชื่อโต 5% โบรกเชียร์ “ซื้อ” เป้าสูง 141 บ.
SCB บวกต่อ 3% หลังผลกำไรไตรมาส 2/65 ทะลุ 1 หมื่นล้านบาท ฟาก CEO ส่งซิกทั้งปีตั้งไว้ว่าสินเชื่อจะเติบโต 3-5% โบรกประสานเสียงแนะ “ซื้อ” เคาะเป้าสูงสุด 141 บ.
ผู้สื่อข่าวรายงานว่า วันนี้ (25 ก.ค. 65) ราคาหุ้น บริษัท เอสซีบี เอกซ์ จำกัด (มหาชน) หรือ SCB ณ เวลา 10:58 น. อยู่ที่ระดับ 99.50 บาท บวก 2.50% หรือ 2.58% ทำจุดสูงสุดที่ระดับ 99.50 บาท ทำจุดต่ำสุดที่ระดับ 96.75 บาท ด้วยมูลค่าการซื้อขาย 1,519.50 ล้านบาท
นายอาทิตย์ นันทวิทยา ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร SCB เปิดเผยว่า แนวโน้มของผลการดาเนินงานในช่วงครึ่งปีหลังคาดว่าจะดีกว่าครึ่งปีแรก และเห็นการฟื้นตัวกลับมาอย่างต่อเนื่อง โดยที่มีปัจจัยหนุนหลักจากธนาคารไทยพาณิชย์ ที่แนวโน้มการเติบโตของสินเชื่อในช่วงครึ่งปีน่าจะเติบโตขึ้นสูงกว่าครึ่งปีแรก หลังจากช่วงครึ่งปีแรกสินเชื่อเติบโต 3% เชื่อว่าทั้งปีจะเป็นไปตามเป้าหมายที่ธนาคารตั้งไว้ว่าสินเชื่อจะเติบโต 3-5%
บริษัทหลักทรัพย์ กรุงศรี จำกัด (มหาชน) ระบุในบทวิเคราะห์ว่า SCB รายงานกำไรในไตรมาส 2/65 เป็นไปตามประมาณการของฝ่ายวิจัย และ consensus โดยสินเชื่อขยายตัวอย่างแข็งแกร่ง และ NIM ฟื้นตัวขึ้น อย่างไรก็ตามยังคงแนะนำ “ซื้อ” โดยประเมินราคาเป้าหมาย 133 บาท เนื่องจากราคาหุ้นมี upside อีกมาก แม้มีการลงทุนในด้านดิจิทัลยังคงเป็นประเด็นค้างคาที่กดดันราคาหุ้นอยู่ แต่งบที่ออกมาไม่ได้มีการตั้งสำรองในระดับที่สูงจนน่ากลัว มองระยะสั้นราคาน่าจะมีการฟื้นตัวได้
บริษัทหลักทรัพย์ เคทีบีเอสที จำกัด (มหาชน) ระบุในบทวิเคราะห์ว่า มีมุมมองต่อ SCB เป็นลบจากการประชุมนักวิเคราะห์เพราะมีการเปลี่ยนเป้าหมายทางการเงินใหม่ทำให้เกิด downside ต่อประมาณการ โดยเฉพาะค่าใช้จ่ายในการเปลี่ยนเป็น SCBX ที่จะเข้ามากดดันราว 2-3 พันล้านบาท ขณะที่ SCB ประกาศกำไรสุทธิในไตรมาส 2/65 อยู่ที่ 1 หมื่นล้านบาท เพิ่มขึ้น 14% จากงวดเดียวกันของปีก่อน แต่ทรงตัวจากไตรมาสก่อน เป็นไปตามที่ตลาดคาด แต่ต่ำกว่าที่คาดเล็กน้อยที่ลดลง 6% เพราะมีการตั้งสำรองฯมากกว่าคาด แต่ NIM ฟื้นตัวได้ดีเพราะมีการทำ restructure loan ลดลง ขณะที่ NPL ลดลงได้ดีอยู่ที่ 3.58% จาก 3.70% เมื่อเทียบกับไตรมาสก่อน
นอกจากนี้ มีการปรับประมาณการกำไรสุทธิในปี 65 ลง 5% ส่วนปี 66 ลง 3% จากการปรับ Credit cost เพิ่มขึ้น และปรับลดรายได้ที่ไม่ใช่ดอกเบี้ยลดลง แต่มีการปรับ NIM เพิ่มขึ้น เพื่อให้สอดคล้องกับเป้าหมายทางการเงินใหม่ ทำให้ได้กำไรสุทธิในปี 65 อยู่ที่ 3.7 หมื่นล้านบาท เพิ่มขึ้น 5% จากงวดเดียวกันของปีก่อน ขณะที่คาดว่าแนวโน้มกำไรสุทธิในไตรมาส 3/65 จะเพิ่มขึ้นได้จากงวดเดียวกันของปีก่อน จากสำรองฯที่ลดลงเป็นหลักราคาหุ้นในช่วง 1 เดือนที่ผ่านมาปรับตัวลดลง 9% เมื่อเทียบกับ SET ถือว่า underperform กว่ากลุ่มโดย KBANK ลดลง 4% ส่วน BBL และ KTB ลดลง 2% ขณะที่ทางฝ่ายวิจัยยังคาดหวังการเติบโตจากธุรกิจใหม่ที่จะเริ่มเห็นความชัดเจนมากขึ้นตั้งแต่ไตรมาส 4/65 เป็นต้นไป ซึ่งจะส่งผลให้แนวโน้มกาไรสุทธิในปี 66 จะกลับมาโตได้ดีที่เพิ่มขึ้น 13% จากงวดเดียวกันของปีก่อน จึงยังคงแนะนำ “ซื้อ” ราคาเป้าหมาย 94 บาท
บริษัทหลักทรัพย์ เมย์แบงก์ (ประเทศไทย) จำกัด (มหาชน) ระบุในบทวิเคราะห์ว่า SCB ราคาหุ้นที่ลดลง 26% จากต้นปีถึงปัจจุบัน มองเป็นจังหวะที่ดีในการเข้าซื้อหุ้น เนื่องจากตลาดกังวลประเด็นผลขาดทุน Mark to market จากการลงทุนของ SCB10x โดย CFO เผยว่า SCB จำกัด การลงทุนในเงินร่วมลงทุนทั้งหมดไว้ที่ 110 ล้านเหรียญสหรัฐ ราคาหุ้นปัจจุบันเริ่มน่าสนใจ เนื่องจากซื้อขายที่ PE ปี 65 ที่ 8 เท่า แนะนำ “ซื้อ” ราคาเป้าหมาย 140 บาท เพิ่มคาดการณ์รายได้ปี 65-66 เพื่อสะท้อนเป้าหมายทางการเงินใหม่
บริษัทหลักทรัพย์ ทรีนีตี้ จำกัด ระบุในบทวิเคราะห์ว่า SCB รายงานกำไรไตรมาส 2/65 อยู่ที่ 10,051 ล้านบาท ลดลง 1% จากไตรมาสก่อน แต่โต 14% จากงวดเดียวกันของปีก่อนใกล้เคียงคาด ซึ่งรายได้ดอกเบี้ยสุทธิดีขึ้นมาก จากสินเชื่อที่ขยายตัวดีและ NIM ปรับตัวเพิ่มขึ้น แต่รายได้ค่าธรรมเนียมถูกกดดันจากสภาวะตลาดทุน โดยมีการเพิ่มสารองส่วนเกินเพื่อรองรับเศรษฐกิจ แต่ภาพรวมคุณภาพหนี้ดูดีขึ้น
ทั้งนี้ปรับประมาณการกำไรปี 65 ลงเล็กน้อยราว 3% โดยมองครึ่งปีหลังปัจจัยบวกจาก NIM และสารองหนี้จะช่วยผลักดันกาไร แต่รายได้ที่มิใช่ดอกเบี้ยอาจอ่อนตัวจากสภาวะตลาดทุน คงราคาเป้าหมาย 140 บาท Upside ยังน่าสนใจ จึงคงคำแนะนำ “ซื้อ”
บริษัท หลักทรัพย์ ฟิลลิป ประเทศไทย จำกัด มหาชน ระบุในบทวิเคราะห์ว่า SCB ถึงแม้ว่ากําไรไตรมาส 2/65 จะต่ำกว่าคาด แต่การที่สินเชื่อยังเติบโตต่อเนื่อง และการเลือกปล่อยสินเชื่อมากขึ้น การลด NPL ลงได้ ทำให้ส่วนต่างอัตราดอกเบี้ยเพิ่มขึ้น นอกจากนี้ทาง SCB ยังได้ชี้แจงว่ามีกํารลงทุนที่เกี่ยวข้องกับคริปโตเคอร์เรนซี่ไม่ถึง 1 ล้านเหรียญ ซึ่งน่าจะคลายข้อกังวลที่เคยมีก่อนหน้าได้ทางฝ่ายยังคงประมาณการ คงราคาพื้นฐาน 141 บาท และยังแนะนำ “ซื้อ”