ภาพใหญ่เศรษฐกิจกดดัน…SET ยังยากที่จะฟื้นตัวได้แรง
SCBS มองตลาดการเงินในไตรมาส 3/2565 จะยังเผชิญแรงกดดันเพิ่มขึ้นหลังจากเฟดส่งสัญญาณใช้นโยบายการเงินตึงตัวเต็มที่เพื่อควบคุมเงินเฟ้อให้ได้
SCBS มองตลาดการเงินในไตรมาส 3/2565 จะยังเผชิญแรงกดดันเพิ่มขึ้นหลังจากเฟดส่งสัญญาณใช้นโยบายการเงินตึงตัวเต็มที่เพื่อควบคุมเงินเฟ้อให้ได้ ซึ่งทำให้ความเสี่ยงที่เศรษฐกิจจะเกิดภาวะถดถอย (Recession) ในอนาคตมีเพิ่มขึ้นจากเดิม
สถานการณ์ดังกล่าวจะส่งผลให้ตลาดพันธบัตรระยะยาวดูน่าสนใจขึ้นในประเด็นของการเป็นสินทรัพย์ปลอดภัย แต่พันธบัตรระยะสั้นจะผันผวนตามอัตราดอกเบี้ยนโยบาย ด้านสินทรัพย์เสี่ยง ได้แก่ ตลาดหุ้น และ สินค้าโภคภัณฑ์ ยังคงมีความผันผวนสูงต่อเนื่อง อีกทั้งต้องติดตามความเสี่ยงอัตราแลกเปลี่ยนที่คาดว่าจะรุนแรงขึ้นหลังจากค่าเงินหลายประเทศอ่อนค่ามากเป็นประวัติการณ์ ดังนั้นการลงทุนในสภาวะตลาดแบบนี้นักลงทุนยังคงต้องเลือกลงทุนในสินทรัพย์ที่มีความปลอดภัยและมีคุณภาพดีเป็นหลัก ไม่ว่าจะเป็น หุ้น หรือ ตราสารหนี้
ทั้งนี้ในส่วนของตลาดหุ้นไทย SCBS ประเมินว่า ช่วงสั้นยังยากที่จะคาดหวังการฟื้นตัวได้แรง เนื่องจากภาพใหญ่ของเศรษฐกิจทั่วโลกยังกดดัน และคาดจะเริ่มเห็นเงินเฟ้อที่สูงขึ้นส่งผลกระทบเชิงลบต่อกำลังซื้อ อีกทั้งยังมีความเสี่ยงที่ต้องจับตา ได้แก่ การเปลี่ยนท่าทีของธนาคารกลางสหรัฐ หลังตัวเลขเศรษฐกิจเริ่มชะลอตัวลง และท่าทีของรัฐบาลจีนต่อการควบคุม COVID หลังตัวเลขผู้ป่วยเพิ่มขึ้นต่อเนื่อง ทำให้หลายกลุ่มอุตสาหกรรมยังคงมีแนวโน้มที่จะเติบโตชะลอตัวลง
โดยที่ผลประกอบการของ บจ. ไทยในไตรมาส 2/2565 ที่กำลังจะทยอยประกาศออกมาในเดือน ส.ค.นี้ คาดจะช่วยให้สามารถเห็นแนวโน้มในครึ่งหลังปี 2565 และมองผลประกอบการในไตรมาส 3/2565 จะเป็นจุดต่ำที่สุดของปีนี้ อย่างไรก็ดีราคาหุ้นอาจจะ Bottom ก่อนผลประกอบการ และ Valuation ของ SET ที่บริเวณ 1,500 จุด จะเริ่มกลับมาน่าสนใจอีกครั้งทั้งในเชิงพื้นฐานและเชิงเทคนิค
กลยุทธ์ลงทุนช่วงสั้นนี้ยังเป็นไปอย่างระมัดระวังและเลือกกลุ่มลงทุน โดยแนะนำ “Selective Buy” ในหุ้นที่โมเมนตัมกำไรดี หรือ คาดประกาศผลการดำเนินงานไตรมาส 2/2565 ออกมาดี เนื่องจากตลาดกำลังเข้าสู่ช่วงการประกาศผลประกอบการ ดังนี้
1) หุ้นที่พรีวิวมีโอกาสออกมาดีและมีแนวโน้มปรับเพิ่มประมาณการกำไรหลังประกาศงบไตรมาส 2/2565 เลือก BCP, AWC, ERW
2) หุ้นที่คาดไตรมาส 2/2565 ผลการดำเนินงานออกมาดีกว่าตลาด เลือก HMPRO, SCGP
3) หุ้นที่คาดผลดำเนินงานผ่านจุดต่ำสุดไปแล้วและกำไรมีโมเมนตัมดีขึ้นตั้งแต่ไตรมาส 2/2565 รวมทั้ง Valuation ไม่แพง เลือก IVL, KCE, DELTA, MTC
ในทางกลับกัน ช่วงสั้นแนะนำให้หลีกเลี่ยงหรือเพิ่มความระมัดระวังการลงทุน สำหรับกลุ่มที่มีปัจจัยลบกดดันผลประกอบการ และ/หรือ ราคาหุ้น ดังนี้
1) หุ้นสินค้าโภคภัณฑ์อย่างกลุ่มปาล์ม ได้แก่ UVAN, UPOIC, VPO, CPI รวมทั้งกลุ่มแป้งสาลีและสินค้าทดแทนกันได้อย่างแป้งมันสำปะหลัง ได้แก่ UBE, TMILL, TWPC หลังราคาปาล์มและข้าวสาลีจะยังอยู่ในทิศทางขาลง เนื่องจากปัญหาอุปทานขาดแคลนคลี่คลายลง หลังผลผลิตปาล์มของอินโดนีเซียและมาเลเซียออกสู่ตลาดมากขึ้น อีกทั้งล่าสุด รัสเซีย-ยูเครนยังลงนามข้อตกลงเปิดทางส่งออกธัญพืชจากยูเครนทำให้ข้าวสาลีและสินค้าเกษตรอื่น ๆ เตรียมออกสู่ตลาดโลกเพิ่มขึ้น
2) หุ้นที่คาดได้ผลกระทบทางอ้อมจากความกังวลความเสี่ยงด้านนโยบายของประเทศคู่ค้าอย่างเมียนมาที่มีเพิ่มขึ้นและศักยภาพของคู่ค้าอาจลดลง อาทิ CBG, OSP
3) หุ้นที่มีโอกาสสูงจะโดนตลาดปรับลดประมาณการ หลังล่าสุดมีความเสี่ยงกดดันผลการดำเนินงานมากกว่าที่คาดไว้ อาทิ ASP, MST, NRF, OSP, DTAC (อ่านเพิ่มในบทวิเคราะห์ “หุ้นที่คาดมีโอกาสปรับเพิ่ม/ลด ประมาณการปีนี้หลังประกาศงบไตรมาส 2/2565”)
…
สุกิจ อุดมศิริกุล
กรรมการผู้จัดการ สายงานวิจัย บริษัทหลักทรัพย์ ไทยพาณิชย์ จำกัด