หุ้นกำไรลด..ได้เวลาขึ้น?
วันนี้เป็นอีกครั้งที่ “โมนิก้า” เลือกที่จะเม้าท์ถึงสถานการณ์ที่เป็นลบกับตัวหุ้นด้วยความเต็มใจ เพราะอย่างน้อยก็เป็นการส่งสัญญาณให้กับนักลงทุน
วันนี้เป็นอีกครั้งที่ “โมนิก้า” เลือกที่จะเม้าท์ถึงสถานการณ์ที่เป็นลบกับตัวหุ้นด้วยความเต็มใจ เพราะอย่างน้อยก็เป็นการส่งสัญญาณให้นักลงทุนได้รู้ถึงความเสี่ยงในอนาคตมีเยอะขนาดไหน? และยังแยกแยะกลุ่มหุ้นที่น่าลงทุนสำหรับช่วงครึ่งปีหลังมีกลุ่มไหนบ้าง? แถมตัวเลขกำไรที่ออกมายังทำให้นักลงทุนประเมินแวลูของหุ้นควรอยู่ตรงไหนได้ชัดเจนอีกด้วย จึงกลายเป็นประเด็นที่เดี๊ยนต้องเผือกให้สุดซอยเจ้าค่ะ
นอกจากนี้ต้องไม่ลืมว่า การทะยานอย่างร้อนแรงของดัชนีในเที่ยวนี้ ก็มาจากหนึ่งในตัวแปรสำคัญที่ทุกคนรู้จักเป็นอย่างดีก็คือ DELTA เพราะเป็นหุ้นที่มีผลกับการขึ้นลงของดัชนีในแต่ละรอบราว 3-4 จุดด้วยกัน จึงกลายเป็นภาพลวงตาที่ทำให้นักเล่นไขว้เขว ซึ่งประเด็นที่ทำให้ “โมนิก้า” ต้องเม้าท์ถึง “หุ้นกำไรลด แต่ราคาขึ้น” เพราะกลายเป็นเรื่องที่ผิดธรรมชาติของการลงทุนอย่างสิ้นเชิงนะคะ
เช่นเดียวกับการที่ดัชนีวิ่งขึ้นมาปิดที่ระดับ 1,618.80 จุด บวกไป 9.93 จุด ด้วยมูลค่าการซื้อขาย 5.76 หมื่นล้านบาท ก็เป็นการซื้อกลับช่วงสั้นของฝรั่งหัวทอง โดยมีประเด็นเรื่องขึ้นดอกเบี้ยมาเป็นตัวบิ้วอารมณ์ ผสานกับมีตัวเลขนักท่องเที่ยวไหลเข้าประเทศเพิ่มเป็นแรงเสริม จึงทำให้หุ้นเหล่านั้นมีแรงซื้อเข้ามามากเป็นพิเศษ และกลายเป็นหุ้นท็อปพิกในหมู่นักลงทุนที่รู้จักคุ้นเคยเป็นอย่างดีนะจ๊ะ
สำหรับหุ้นที่ทำผลงานไม่ปังเหมือนที่หวัง และกำไรก็มีแนวโน้มไม่สวยแน่นอน “โมนิก้า” คงมองไปที่ JTS ซึ่งเป็นหุ้นที่ทำเหมืองบิตคอยน์เป็นอาชีพหลัก เพราะสิ่งที่สะท้อนออกมาคือยุคถดถอยของตลาดคริปโต ซึ่งกระทบโดยตรงกับความสามารถในการทำกำไร แถมกำไรไตรมาส 2 ที่ประกาศออกมาก็พื้น ๆ เหลือเกิน วานนี้ถึงเห็นหุ้นลงมาปิดที่ระดับ 100 บาท ลบไป 8 บาท หรือลงไป 7.40% ด้วยมูลค่าการซื้อขาย 225 ล้านบาทไงล่ะคะ
ส่วนรายที่กำไรลดอย่างน่าใจหาย แต่แก้เกมด้วยการใช้วิธีอัดปันผลเข้ามาชดเชย “โมนิก้า” คงมองไปที่เจ้าพ่อสื่อสารอย่าง ADVANC เพื่อชี้ให้เห็นการเติบโตทางธุรกิจคงไม่ราบรื่นเหมือนที่ผ่านมาก็จริง แต่อย่างน้อยก็ทำให้รู้ว่า อัตราผลตอบแทนจากเงินปันผลก็ไม่ธรรมดาเช่นกัน หุ้นถึงยืนปิดที่ระดับ 205 บาท บวกไป 2 บาท หรือขึ้นไป 1% ด้วยมูลค่าการซื้อขาย 841 ล้านบาทนะจะบอกให้
นอกจากนี้ยังมีหุ้นที่รูดลงก่อนประกาศงบอย่าง GPSC เป็นอีกหนึ่งตัวเลือกที่น่าสนใจ หลังราคาหุ้นรูดลงมาทำโลว์ที่บริเวณ 60 บาท ตั้งแต่ต้นไตรมาส 2 ต่อจากนั้นก็มีอาการ “งึก ๆ งัก ๆ” ที่บริเวณ 65 บาทจนจบไตรมาส และทันทีที่ประกาศงบออกมาแย่ตามที่คาด ราคาหุ้นก็ไต่ระดับขึ้นต่อเนื่อง จนวานนี้หุ้นยืนปิดที่ 71 บาท ลบไป 0.25 บาท หรือลงไป 0.35% ด้วยมูลค่าการซื้อขาย 504 ล้านบาทแบบนี้..แสดงว่า ธุรกิจพ้นก้นเหวใช่ไหมเอ่ย?
อีกรายที่มีสตอรี่คล้ายกัน “โมนิก้า” คงมองไปที่หุ้นไซส์เล็กอย่าง TNP เพราะการที่หุ้นเด้งขึ้นมาปิดที่ 4 บาท บวกไป 0.16 บาท หรือขึ้นไป 4.15% ด้วยมูลค่าการซื้อขาย 30 ล้านบาท ทั้งที่ผลงานไตรมาส 2 ถูกกดดันจากต้นทุนน้ำมันที่ปรับตัวสูงขึ้น ขณะเดียวกันยังต้องเผชิญกับปัญหากำลังซื้อหดตัวต่อเนื่อง เดี๊ยนเลยสงสัยว่า การเด้งขึ้นเที่ยวนี้เหมือนเป็นการส่งสัญญาณให้รู้ว่า ทุกอย่างกำลังดีขึ้นแบบค่อยเป็นค่อยไปนะจ๊ะ
สำหรับรายที่มีอาการไม่ดีอย่างยาวนาน และน่าจะมีปัญหามากขึ้นอย่างเลี่ยงไม่ได้ “โมนิก้า” ขอมองไปที่หุ้น NCAP เพื่อชี้ให้เห็นแรงขายที่ยังพรั่งพรูออกมาตลอดเวลา จนทำให้ราคาหุ้นลงมาปิดที่ระดับ 4.80 บาท ลบไป 0.40 บาท หรือลงไป 7.70% ด้วยมูลค่าการซื้อขาย 193 ล้านบาท ก็เป็นการตอกย้ำว่า ธุรกิจเช่าซื้อกำลังตกที่นั่งลำบาก และการขายทิ้งเพื่อลดความเสี่ยง จึงเป็นทางเลือกที่ดีนะจ๊ะ..นะจ๊ะ
ตบท้ายที่การออกมาดับข่าวลือของผู้บริหาร TAKUNI กันดีกว่า เพราะการออกมายืนยันไม่มีแบ็กดอร์ แต่ราคาหุ้นในกระดานกับสวนทางสิ่งที่ออกมาชี้แจง ด้วยการขึ้นมาปิดที่ระดับ 2.42 บาท บวกไป 0.06 บาท หรือขึ้นไป 2.55% ท่ามกลางมูลค่าการซื้อขาย 513 ล้านบาทแบบนี้..มันหมายความว่า ต้องมีอะไรในกอไผ่หรือเปล่า? และหวังว่า คงไม่มีรายการแกงกันหรอกนะคะ