ยื้อต่อหรือไม่! กสทช.ถกปมเวลาเคาะดีล “TRUE-DTAC” หวั่นเอื้อเอกชน

กสทช.เตรียมพิจารณากรอบเวลาเคาะดีล “TRUE-DTAC” หลังต้องการความชัดเจนจะให้เวลานานเท่าใด ด้านคณะกรรมการกฤษฎีกาย้ำ “กสทช.” มีเครื่องมือใช้พิจารณาดีลอยู่แล้ว


ผู้สื่อข่าวรายงานว่า การประชุมคณะกรรมการกิจการกระจายเสียง กิจการโทรทัศน์ และกิจการโทรคมนาคมแห่งชาติ หรือ กสทช. วันนี้ (10 สิงหาคม 2565) จะมีการพิจารณาประเด็นการควบรวมธุรกิจ ระหว่างบริษัท ทรู คอร์ปอเรชั่น จำกัด (มหาชน) หรือ TRUE และ บริษัท โทเทิ่ล แอ็คเซ็ส คอมมูนิเคชั่น จำกัด (มหาชน) หรือ DTAC ซึ่งมีรายงานว่าจะมีการพิจารณากำหนดเวลาและวิธีการลงมติการรวมธุรกิจระหว่าง TRUE และ DTAC โดยมีข้อเสนอเพื่อพิจารณากำหนดเวลา และวิธีการลงมติการรวมกิจการ หลังจากการประชุมไปเมื่อวันที่ 3 สิงหาคม 2565 บอร์ด กสทช.มีมติมอบหมายให้สำนักงาน กสทช. รับข้อคิดเห็นของที่ประชุมไปดำเนินการรวบรมและวิเคราะห์ข้อมูลที่มีหลักฐานทางวิชาการและข้อมูลเชิงประจักษ์เพิ่มเดิม

เนื่องจากข้อมูลที่สำนักงาน กสทช. นำเสนอมายังไม่ครบถ้วนและรอบด้านเพียงพอ ยังขาดข้อมูลสำคัญในหลายประเด็นเพื่อประกอบการพิจารณาผลกระทบในด้านต่างๆ และเพื่อนำไปสู่มาตรการในการป้องกันมิให้มีการกระทำอันเป็นการผูกขาด หรือก่อให้เกิดความไม่เป็นธรรมในการแข่งขันในกิจการโทรคมนาคม ซึ่งเป็นเจตนารมณ์ของกฎหมาย และเป็นการป้องกันผลกระทบ และความเสียหายที่อาจจะเกิดขึ้นต่อตลาดและอุตสาหกรรมตลอดจนประชาชนผู้ใช้บริการ

อย่างไรก็ตาม คาดว่า กสทช. น่าจะหาความขัดเจนกรอบเวลาการพิจารณา และวิธีการลงมติการรวมธุรกิจระหว่าง TRUE และ DTAC ที่ชัดเจน ซึ่งประเด็นดังกล่าวเป็นประเด็นที่อยู่ในความสนใจของสาธารณะ

ขณะที่ สำนักงานคณะกรรมการกฤษฎีกา มีหนังสือลงวันที่ 27 กรกฎาคม 2565 แจ้งผลพิจารณาของคณะกรรมการกฤษฎีกา (คณะที่ 1) ซึ่งมีความเห็นว่าประเด็นที่สำนักงาน กสทช. หารือ เป็นกรณีที่อยู่ในความสนใจสาธารณะ โดยเห็นว่า ประเด็นที่สำนักงาน กสทช. หารือ เป็นกรณีที่อยู่ในหน้าที่และอำนาจของ กสทช.โดยเฉพาะ รวมทั้งปรากฏข้อเท็จจริงว่าประกาศ กสทช.เรื่อง มาตรการการรวมธุรกิจในกิจการโทรคมนาคม ที่เป็นเครื่องมือของ กสทช. ในการพิจารณาดำเนินการมีการฟ้องร้องเพิกถอนอยู่ในศาลปกครอง ซึ่งกรรมการกฤษฎีกาจะไม่พิจารณาให้ความเห็น รวมถึง ความไม่ชัดเจนว่า การรายงานของ TRUE และ DTAC ถือเป็นการดำเนินการตามประกาศ กสทช. เรื่อง มาตรการการรวมธุรกิจในกิจการโทรคมนาคม ฉบับลงราชกิจจานุเบกษา 19 มกราคม 2561 และถือว่าได้รับอนุญาตแล้วหรือไม่ ตามข้อ 6 ของประกาศฯ ฉบับดังกล่าว อาจส่งผลให้ กสทช. ไม่อาจอธิบาย และไม่อาจยกขึ้นเป็นข้อต่อสู้ในชั้นศาล ด้วยเหตุที่ ไม่ดำเนินการให้เป็นไปตามประกาศของ กสทช.

นอกจากนี้ข่าวจาก กสทช. เปิดเผยอีกว่า ในประเด็นการขอควบรวมนั้น หากในท้ายที่สุดมีการอนุญาตให้ควบรวมกิจการ บอร์ด กสทช.จำเป็นต้องเขียนมาตรการเฉพาะ เพื่อกำหนดเป็นเงื่อนไขในการควบรวมกิจการ ซึ่งบอร์ดมีความกังวลในแง่ของการพิจารณา เพราะไม่อยากตกเป็นจำเลยสังคมในประเด็นที่เอื้อเอกชน และจำเป็นต้องใช้ยาแรง ซึ่งหากพิจารณาจากกรณีศึกษาในต่างประเทศ หากอนุญาตให้ควบรวม ก็จำเป็นต้องให้เอกชนที่ขอควบรวมขายคืนคลื่นความถี่ออกมา 50-100 เมกะเฮิรตซ์ เพื่อจำกัดขนาดของบริษัทใหม่ที่เกิดขึ้นหลังจากการควบรวม ไม่ให้มีขนาดที่ใหญ่เกินไป หรืออาจกำหนดให้ควบรวมธุรกิจเฉพาะบริษัทแม่ส่วนบริษัทลูกห้ามดำเนินการเด็ดขาด

Back to top button