SET ฉายหนังซ้ำ
เหตุผลของความมั่นใจว่าดัชนีจะไม่หลุด 1,600 จุด มาจากผลประกอบการของบริษัทจดทะเบียน (บจ.) ครึ่งปีแรก ออกมาดี
วานนี้ดัชนี SET ปรับลง 10.10 จุด มาที่ 1,615.82 จุด
และเป็นการปิดตลาดปรับลงวันที่สามติดต่อกัน
วันแรก (18 ส.ค.) ปิดลบ 3.65 จุด
วันที่สอง (19 ส.ค.) ลงอีก 10.15 จุด และวานนี้อีก 10.15 จุด
ดูการปรับลงของดัชนี SET ในรอบล่าสุดนี้ แล้วมองย้อนกลับไปตั้งแต่ช่วงต้นปี 2565
สถานการณ์แบบนี้เกิดขึ้นกับตลาดหุ้นไทยมาแล้ว 3 ครั้ง และครั้งนี้เป็นครั้งที่ 4
หรือสถานการณ์ที่ SET จะถูกดันขึ้นไปโดยแรงซื้อของนักลงทุนต่างประเทศ และมีนักลงทุนสถาบัน (กองทุน) เป็นกลุ่มที่ขายออกมาต่อเนื่อง
สถานการณ์แรกในช่วงเดือน ก.พ. 65 ต่างชาติเข้ามาซื้อต่อเนื่อง ดัชนีขึ้นไปถึง 1,718 จุด
ก่อนที่จะมีแรงขายทำกำไร กดดัชนีลงมาลึกสุด 1,580 จุด
ต่อมาคือในเดือน เม.ย. 65 ดัชนีถูกดันกลับขึ้นอีกครั้งจากแรงซื้อของต่างชาติ
ทำให้ดัชนีขึ้นมาบริเวณ 1,708 จุด ก่อนที่จะอ่อนแรงลงไป และลงมาจุดต่ำสุดที่ 1,578 จุด
ครั้งถัดมาคือเดือน มิ.ย. 65 ดัชนีวิ่งกลับขึ้นมาอีกครั้ง และขึ้นไปสูงสุด 1,664 จุด และลงมาที่จุดต่ำสุด 1,512 จุด
ล่าสุดคือเดือน ส.ค.นี้ ที่ดัชนีดันขึ้นมาจากแรงซื้อของต่างชาติ และขึ้นมาสูงสุด 1,642 จุด (17 ส.ค.) หลังจากนั้น มีแรงขายทำกำไรออกมา 3 วันติดต่อกัน
ล่าสุดดัชนีมาปิดวานนี้ 1,615.82 จุด
การปรับลงของดัชนี SET ครั้งนี้ บรรดานักวิเคราะห์ต่างประเมิน หรือคาดการณ์ว่า ไม่น่าหลุด 1,600 จุด
มีแนวรับทางเทคนิค 1,608 จุด
และหากดัชนีลงมาที่บริเวณ 1,600 จุด ถือเป็นบริเวณที่เริ่มทยอยซื้อกลับได้
เหตุผลของความมั่นใจว่าดัชนีจะไม่หลุด 1,600 จุด มาจากผลประกอบการของบริษัทจดทะเบียน (บจ.) ครึ่งปีแรก ออกมาดี หรือ 3.46 แสนล้านบาท เพิ่มขึ้น 22.4% จากไตรมาสก่อน และเพิ่มขึ้น 26.6% จากช่วงเดียวกันของปีก่อน
และนับเป็นฐานกำไรสุทธิที่สูงสุดเป็นประวัติการณ์
ส่วนแนวโน้มทั้งปี 2565 กำไรจะทะลุ 1 ล้านล้านบาท ขึ้นมาอยู่ที่ 1.1 ล้านล้านบาท
ข้อมูลจากสมาคมนักวิเคราะห์การลงทุน หรือ FETCO ล่าสุด มองกรอบดัชนีตลาดหุ้นไทย ช่วงปลายไตรมาส 3 คาดจะอยู่แถว ๆ 1,569 จุด
และสิ้นปีคาด 1,646 จุด ซึ่งช่วงครึ่งปีหลังตลาดหุ้นน่าจะปรับดีขึ้น
มีคำแนะนำว่า ช่วงตลาดหุ้นปรับฐาน หรือ “พักตัว”
ให้เลี่ยงหุ้นกลุ่ม SET50 ออกไปก่อน จากแรงขายทำกำไรที่ออกมา
และให้หันไปเล่นหุ้นแถวสอง แถวสาม หรือหุ้นขนาดกลางและเล็ก ที่ราคายังปรับขึ้นไม่มาก มีอัพไซด์ และแนวโน้มครึ่งปีหลังยังเติบโตได้ดี เช่น กลุ่มหุ้นโรงพยาบาลขนาดกลาง-เล็ก BCH RJH CHG PR9
กลุ่มอสังหาริมทรัพย์ที่มียอดพรีเซลเติบโตดี ปันผลดี เช่น SC LH AP และ QH
และกลุ่มอสังหาฯ อาจจะเป็นเป้าหมายต่อไปของต่างชาติที่จะเข้ามาทยอยเก็บ หลังจากเก็บแบงก์ และพลังงานไปก่อนหน้านี้ตั้งแต่ดัชนียังไม่ทะลุ 1,600 จุด