THANI มองดีมานด์สินเชื่อปี 65 ฟื้น ดันยอดปล่อยใหม่แตะ 2.8 หมื่นล้าน

THANI ปรับเป้าหมายปล่อยสินเชื่อใหม่ปีนี้เป็น 2.8 หมื่นล้านบาท หลังมองทิศทางการฟื้นตัวของเศรษฐกิจดีขึ้น จากสถานการณ์โควิดที่เริ่มคลี่คลาย


นายโกวิท รุ่งวัฒนโสภณ กรรมการผู้จัดการ บริษัท ราชธานีลิสซิ่ง จำกัด (มหาชน) หรือ THANI เปิดเผยว่า บริษัทได้ปรับเป้าหมายยอดปล่อยสินเชื่อใหม่ปีนี้เพิ่มขึ้นเป็น 28,000 ล้านบาท จากเดิมที่ 26,000 ล้านบาท โดยการปล่อยสินเชื่อในกลุ่มรถกลุ่มรถบรรทุกยังมีการขยายตัวเพิ่มขึ้นมาอย่างต่อเนื่อง ซึ่งบริษัทจะเน้นการปล่อยสินเชื่อไปยังกลุ่มผู้ประกอบการขนาดกลางและขนาดใหญ่ขึ้นไป เป็นไปในทิศทางเดียวกับการฟื้นตัวของเศรษฐกิจ หลังจากสถานการณ์การแพร่ระบาดของเชื้อไวรัสโควิด-19 คลี่คลายไปในทิศทางที่ดีขึ้น และเริ่มมีนักท่องเที่ยวเดินทางเข้ามายังประเทศไทยที่จะช่วยหนุนกลุ่มการอุปโภค และบริโภคฟื้นตัวได้อย่างต่อเนื่อง

โดยในช่วงไตรมาส 3/65 จะเป็นช่วงโลว์ซีซั่นของกลุ่มรถบรรทุกเนื่องจากอยู่ในช่วงของฤดูฝน มีน้ำท้วม เกิดอุบัติเหตค่อนข้างมาก งานก่อสร้างที่อาจจะไม่เป็นไปตามแผนที่วางไว้ แต่อย่างไรก็ตามจะกลับมาเติบโตได้มากในช่วงไตรมาส 4/65 โดยผู้ประกอบการรถบรรทุกคาดว่าจะมียอดขายทำสถิติสูงสุดใหม่ในปีนี้ หรือมีการเติบโตได้ราว 15% จากปีก่อน ซึ่งยังมีปัจจัยหนุนจากการค้าชายแดนที่มีการเติบโตได้ค่อนข้างมาก ไม่ว่าจะเป็นในกลุ่มประเทศ สปป.ลาว, เมียนมา และ กัมพูชา รวมไปถึงด่านประเทศมาเลเซียที่เปิดให้มีการเดินทางผ่านชายแดนได้แล้ว

นอกจากนี้ยังได้ปัจจัยหนุนจากกลุ่มสินเชื่อสำหรับกลุ่มรถ Luxury Cars คาดว่าจะมีการเติบโตได้อย่างต่อเนื่อง หลังจากที่ปริมาณรถที่เข้ามายังประเทศไทยปรับตัวเพิ่มสูงขึ้น และมียอดจองรถจำนวนมาก จากช่วงครึ่งปีแรกที่ปริมาณการนำเข้ามาได้ค่อนข้างน้อย โดยคาดว่าจะสามารถมีพอร์ตสินเชื่อ ณ สิ้นปีเพิ่มขึ้นเป็น 53,000 ล้านบาท สูงกว่าเป้าหมายเดิมที่ 50,000 ล้านบาท หลังจากช่วงครึ่งปีแรกมีพอร์ตสินเชื่อแล้ว 50,791 ล้านบาท

ขณะที่ล่าสุดบริษัทได้รับใบอนุญาตการปล่อยสินเชื่อจำนำทะเบียน และ ได้วางระบบเพื่อที่จะรองรับการปล่อยสินเชื่อและเริ่มปล่อยสินเชื่อไปเรียบร้อยแล้ว และคาดว่าในช่วงที่เหลือของปีนี้จะมีการปล่อยสินเชื่อจำนำทะเบียนได้ไม่ต่ำกว่า 500-1,000 ล้านบาท โดยจะเน้นการปล่อยสินเชื่อให้กลุ่มลูกค้าเดิมที่บริษัทมีอยู่กว่า 60,000-70,000 ราย

ทั้งนี้บริษัทยังคงรักษาระดับหนี้ที่ไม่ก่อให้เกิดรายได้ (NPL) ที่ระดับ 2.38% ต่ำกว่าที่บริษัทคาดไว้ที่ไม่เกิน 4% หลังจากที่บริษัทได้ยกเลิกมาตรการช่วยเหลือลูกค้า และได้กลับมาจัดการปัญหากับลูกค้ารายที่มีปัญหา ส่งผลให้ NPL ปรับตัวลดลง และคาดว่าจะยังสามารถปรับตัวลดลงได้อีกหลังจากนี้

Back to top button