ยุค ‘ลุงป้อม’ รักษาการนายกฯ
“ผู้ใหญ่” ไม่ควรลงไปเป็นคู่ขัดแย้งเสียเอง ไม่เช่นนั้นจะมองคนเห็นต่างเป็น “ศัตรู” หมด สังคมจะหาความสงบสุขไม่ได้
เรื่องราวสว.เอา “กิ๊ก” ไปฝากกินเงินเดือนตำรวจ แล้วกิ๊กสาวยังฝากสาวรับใช้เข้ากินเงินเดือนทหาร แถมตัวกิ๊กสาวก็ยังเอาชื่อไปช่วยราชการภาคใต้เพื่อรับเบี้ยเสี่ยงภัย เบี้ยทวีคูณ จนบัดนี้แล้วก็ยังไม่มีผลสอบที่กระจ่างชัดออกมาเลย
เรื่องเล็กก็จริง แต่สะท้อนความเน่าเฟะของระบบอุปถัมภ์ในวงนักการเมือง-ตำรวจ-ทหารที่บาดใจประชาชนเป็นอย่างยิ่ง เพราะแทนจะเลี้ยงกิ๊กด้วยเงินจากกระเป๋าตัวเอง กลับใช้กระเป๋าตังรัฐมาจ่าย
อย่างนี้ก็มีด้วยแฮะ เอาเงินภาษีอากรของประชาชนมาเลี้ยงกิ๊ก กระทำกันด้วยความย่ามใจทั้งนักการเมืองในระบบอุปถัมภ์-ตำรวจ-ทหาร เข้าใจว่าน่าจะทำกันเป็นขบวนการค้ามนุษย์ ซึ่งไม่ใช่แค่รายนี้รายเดียวเสียด้วย
เรื่องเดียวสะท้อนความล้มเหลวทั้งการปฏิรูประบบราชการและการทุจริตคอรัปชั่น ซึ่ง “ลุงตู่” พร่ำโฆษณาแต่ปากมาโดยตลอด
เรื่องมันก็ลอยไปลอยมาอย่างนี้แหละ และมีแต่คำชี้แจงแบบชุ่ย ๆ มาโดยตลอด รองโฆษกตำรวจก็แก้ต่างให้ “เจ๊นุช” สตท.หญิงที่อายุเกิน ขาดคุณสมบัติเข้ารับราชการว่า เป็นตำแหน่งนักบัญชีที่กรมตำรวจขาดแคลน
แน้! เอาควายมาแถลงให้คนฟังได้อย่างไรกันเนี่ย
รองประธานวุฒิสภา ก็บ่ายเบี่ยงไม่ยอมรับข้อร้องเรียนให้สอบสวนสว.ฝากกิ๊กเข้ารับราชการตำรวจ โดยให้เหตุผลว่า ต้องระบุชื่อสว.คนนั้นมาก่อน ไม่งั้นก็ไม่สามารถจะสอบสวนเรื่องราวให้ได้
น่าเสียดายนะครับ เรื่องสว.เลี้ยงกิ๊กโดยใช้เงินหลวงและกิ๊กยังสามารถฝากคนรับใช้มากินเงินเดือนทหารได้อีก “ลุงตู่” ในช่วงก่อนหยุดปฏิบัติหน้าที่ ไม่เคยจะให้ความสนใจไต่สวนเร่งรัดแต่อย่างใดเลย
ทั้งที่ตัวเองเป็นผู้บังคับบัญชาสายตรงของตำรวจ และกลาโหม
เรื่องบาดใจประชาชนเช่นนี้ ถ้า “ลุงตู่” ยกหูหาผบ.ตร.และผบ.ทบ.แกร๊กเดียว ข้อมูลใครเป็นใคร กระทำมิชอบอะไร ก็คงจะพรั่งพรูออกมาแล้ว แต่นี่ไม่เคยใส่ใจ ตั้งตนเป็น “ผู้ปฏิรูปแต่ปาก” มาตลอด จนบัดนี้แล้ว จึงไม่มีความชัดเจนว่าผู้มีอำนาจจะจัดการเรื่องราวฉาวโฉ่อย่างไร
ประยุทธ์ไป ประวิตรมา มีอะไรเปลี่ยนแปลงบ้าง!
ไม่รู้สินะ! พูดแบบแฟร์ ๆ หลังคำวินิจฉัยศาลรัฐธรรมนูญให้พักการปฏิบัติหน้าที่นายกรัฐมนตรีของพล.อ.ประยุทธ์ตั้งแต่ 24 ส.ค.ที่ผ่านมา บรรยากาศบ้านเมืองดูผ่อนคลาย ไร้แรงกดดันเผชิญหน้าที่พร้อมปะทุเหมือนเช่นที่ผ่านมา
8 ปีแล้วนะครับที่สังคมไทยต้องอยู่กับความตึงเครียดเยี่ยงนี้ พล.อ.ประวิตร วงษ์สุวรรณที่เข้ามารักษาการ เล่นบท “พี่ใหญ่” ตัวจริง ที่ไม่ใช่ “พี่ใหญ่” แต่เฉพาะกลุ่ม 3 ป.เท่านั้น
“ลุงป้อม” ยื่นมืออันอบอุ่น ออกไปหาชัชชาติ สิทธิพันธุ์ ผู้ว่าราชการกทม.ที่อาจจะถือเป็นกลุ่มต่างทางการเมือง เพราะมาจากฐานเสียงประชาชน 1.3 ล้านคน มิได้มาจากฐานการสืบทอดอำนาจ
เพียงแค่ “ผู้ใหญ่” เอ่ยปาก พร้อมจะส่งทหารมาช่วยเหลืองานน้ำท่วมกทม. และ “ผู้น้อย” พร้อมรับการหยิบยื่นมิตรไมตรีนั้น ก็กลายเป็นนิมิตรหมายใหม่แห่งความร่วมไม้ร่วมมือในแผ่นดิน ที่ไม่ได้พบเห็นกันมานานแสนนานแล้ว
ยิ่งผบ.ทบ.ส่งทหารลงมาร่วมด้วยช่วยกัน เดินคุยปรึกษาหารือเรื่องน้ำท่วมกับผู้ว่าฯ ชัชชาติ ก็เป็นบรรยากาศที่ดูแล้วสบายใจสบายตาอย่างยิ่ง ซึ่งไม่ค่อยจะได้พบเห็นนักหรอกในรอบ 8 ปี
“ผู้ใหญ่” ไม่ควรลงไปเป็นคู่ขัดแย้งเสียเอง ไม่เช่นนั้นจะมองคนเห็นต่างเป็น “ศัตรู” หมด สังคมจะหาความสงบสุขไม่ได้
ผู้นำประเทศที่ลุ่มหลงตัวเอง มองตัวเองถูกต้องเสมอ และมองคนอื่นผิดไปหมด นี่ก็หาความสุขสงบอีกมิได้เช่นกัน เพราะจะต้องหาทางเอาชนะคะคานอยู่ร่ำไป
ยิ่งเป็นผู้นำที่ชอบตวาดเสียงดัง ชอบเอาความรู้งู ๆ ปลา ๆ มาเที่ยวสั่งสอนอบรมประชาชน ใครเห็นต่างก็มีอารมณ์เช่นนี้ บรรยากาศไม่ตึงเครียดได้อย่างไร
“ลุงตู๋” ไปพัก “ลุงป้อม” มาแทนด้วยท่าทีไม่หักหาญใคร ก็ทำให้บ้านเมืองดูสงบร่มเย็นมา 9 วัน-10 วันแล้ว น่าจะใช้เวลาที่เหลืออยู่ไม่มากนัก ช่วยปลดเปลื้องพ.ร.ก.ฉุกเฉินฯ ที่ใช้เป็นเครื่องจองจำเยาวชนที่เห็นต่างกว่า 200 คนใน 228 คดี ซึ่งพวกเขาก็มีพ่อมีแม่ญาติพี่น้อง คอยส่งกำลังใจให้ทั้งนั้น
โควิดซาไปมากแล้ว รัฐบาลก็ผ่อนคลายมาตรการจำกัดควบคุมจนเกือบจะเป็นระดับ 0 อยู่แล้ว แต่พ.ร.ก.ฉุกเฉินฯ อันเป็นมาตรการผสมโรงมุ่งขจัดเยาวชนที่เห็นต่างทางการเมือง ยังไม่ยอมเลิกราเสียที
หาก “ลุงป้อม” ออกคำสั่งยกเลิก หุ้นจะขึ้น การค้าขายลงทุนจะดี ชื่อเสียงลุงจะมา และเหนืออื่นใด บรรยากาศบ้านเมืองจะร่มเย็นเป็นสุขมากกว่านี้แน่นอน