หุ้นที่ไม่ได้ไปต่อ

สถานการณ์ของตลาดหุ้นไทยไม่มีประเด็นที่น่ากังวลมากนัก เพราะตลาดหุ้นไทยผ่านบททดสอบที่หนักหนาสาหัสมาหมดแล้ว ไม่ว่าจะเป็นเรื่องโควิด สงคราม ฯลฯ


สถานการณ์ของตลาดหุ้นไทยไม่มีประเด็นที่น่ากังวลมากนัก เพราะตลาดหุ้นไทยผ่านบททดสอบที่หนักหนาสาหัส มาหมดแล้ว ไม่ว่าจะเป็นเรื่องโควิด สงคราม เงินเฟ้อ ขึ้นดอกเบี้ย หรือแม้กระทั่งเศรษฐกิจหดตัว ล้วนเป็นเรื่องที่ทำให้ตลาดหุ้นไทยทรุดหนักในช่วงที่ผ่านมา แต่สุดท้ายดัชนีก็ตีกลับขึ้นมาได้เป็นประจำ “โมนิก้า” ถึงมองสิ่งที่เกิดขึ้นกับตลาดหุ้นไทยวานนี้ ก็คงเหมือนกับวันก่อนไงละคะ

วันนี้จึงขึ้นอยู่กับ “กองทุน” กับ “ฝรั่ง” จะเกิดอาการ “แพนิก” ขึ้นมาตอนไหนก็เท่านั้นเอง!  “โมนิก้า” ถึงไม่ซีเรียสกับสิ่งที่เกิดขึ้นกับตลาดหุ้นไทย ขนาดช่วงหนักสุดของโควิด หุ้นไทยก็วิ่งกลับขึ้นมาได้ หรือในช่วงสงครามที่ยิงกันตูมตาม หุ้นก็วิ่งกลับขึ้นมาได้เหมือนกัน และในเมื่อทุกคนมองว่า ไตรมาส 4 เศรษฐกิจจะกระเตื้องขึ้นอย่างมีนัยสำคัญ ตลาดหุ้นไทยก็มีลุ้นขึ้นไปทดสอบเป้า 1,700 จุดได้นะนายจ๋า

ฉะนั้นการที่ดัชนียืนปิดที่ระดับ 1,639.92 จุด บวกไป 6.05 จุด ด้วยมูลค่าการซื้อขาย 7.12 หมื่นล้านบาท ก็เป็นพล็อตเรื่องเดิม ๆ ที่ทุกคนรู้ดีว่า ดอกเบี้ยขึ้นแน่นอนล้านเปอร์เซ็นต์! เลิก พ.ร.ก.ฉุกเฉินแน่นอน หรือแม้กระทั่งท่องเที่ยวบูมแน่นอน “โมนิก้า” จึงไม่เชื่อว่า ตลาดหุ้นไทยจะถอยหลังลงคลอง เพราะมองไปข้างหน้าทีไร ก็มีข่าวดีโผล่มาให้ชื่นใจทุกที จึงอยากให้แฟนคลับประเมินสิ่งที่เดี๊ยนเล่าให้ฟังเที่ยวนี้..น่าเชื่อถือขนาดไหนจ้า!

ส่วนเรื่องที่น่าทุกข์ใจสำหรับชาวหุ้นเที่ยวนี้คงพุ่งเป้าไปที่ JASIF มากกว่าหุ้นตัวอื่น ๆ เพราะสองวันที่ผ่านมาโดนถล่มแบบไม่เหลือซาก และความกังวลที่เกิดขึ้นก็มาจากอนาคตของบริษัทจะไปทางไหน? ผนวกกับโดนกดราคาซื้อจนผู้ถือหน่วยไม่สบายใจอย่างแรง จึงส่งผลให้ผู้ถือหน่วยทยอยขายหุ้นออกมาเรื่อย ๆ ซึ่งเป็นภาพที่ทำให้รู้ทันทีว่า “ดีลต้องจบ” (ราคาซื้ออยู่ที่ 8.50 บาทสูงกว่าราคาในกระดาน) นะจะบอกให้

สาเหตุที่เป็นเช่นนั้นเพราะช็อตที่โดนจัดหนักเป็นเรื่องดาวน์เกรดราคาเป้าเหลือแค่ 8.10 บาท ส่วนช็อตที่สองก็เป็นเรื่องของกองทุนที่ต้องอยู่อย่างโดดเดี่ยวเดียวดายในภาวะที่ธุรกิจบรอดแบนด์เดินมาถึงจุดอิ่มตัว ส่วนช็อตที่สามเป็นเรื่องต้นทุนซ่อนเร้นที่ค่อนข้างสูงกว่าเจ้าอื่น ๆ “โมนิก้า” ถึงไม่แปลกใจที่วานนี้โดนถล่มจนราคารูดลงมาปิดที่ 7.95 บาท ลบไป 0.45 บาท หรือลงไป 5.35% ด้วยมูลค่าการซื้อขาย 1.09 พันล้านบาทเจ้าค่ะ

คล้ายกับสถานการณ์เจ้าพ่อเหมืองคริปโตของประเทศไทยอย่าง JTS ก็ตกอยู่ในภาวะ “กลืนไม่เข้า คายไม่ออก” เพราะสถาการณ์ปัจจุบันไม่เอื้อต่อการเบ่งกำไร จึงมีคำถามเกิดขึ้นทุกครั้งที่ราคาหุ้นกระชากขึ้นแรง เพราะมองจากโลกในความเป็นจริง กำไรคงไม่มาตามนัด หรือแม้กระทั่งการได้เงินอัดฉีดจากการขาย 3BB กับ JASIF ก็คงไม่ช่วยอะไรสักเท่าไหร่! เดี๊ยนถึงมองการย่อตัวลงมาปิดที่ 9.50 บาท ลบไป 3 บาท หรือลงไป 3.65% ด้วยมูลค่าการซื้อขาย 176 ล้านบาทเหมาะสมค่ะนาย!

สำหรับตัวพ่อดอกมะลิ JAS ก็มีสภาพไม่ต่างกันนัก แถมเมื่อชำเลืองตา “มองไป มองมา” ก็ไม่รู้จะโตอย่างไร? จึงกลายเป็นช็อตที่ทำให้ “โมนิก้า” กังขาใจทุกครั้งที่เห็นราคาหุ้นเริ่มขยับ เพราะประเด็นที่ขาเผือกเม้าท์กันให้แซ่ดยังมีเรื่องค่าเสื่อมที่ตามกัดกินทุกไตรมาส เดี๊ยนถึงอยากให้นักเล่นประเมินกันเองว่า การยืนปิดที่ 2.46 บาท บวกไป 0.08 บาท หรือขึ้นไป 3.35% ด้วยมูลค่าการซื้อขาย 160 ล้านบาท มันใช่ทางเลือกที่เราต้องเล่นจริงเหรอ?

ประเด็นดังกล่าวทำให้ “โมนิก้า” ต้องเอ่ยถึงหุ้น XPG เพื่อชี้ให้เห็นสถานการณ์ที่เกิดขึ้นก่อนหน้านี้ และตอนนี้ มันคือภาพของเกมโอเว่อร์ที่นักเล่นต้องรอการรีสตาร์ท แต่เผอิญเวทีการแข่งขันต้องโคจรมาเจอกับก้างขวางคอชิ้นใหญ่ที่มีแบงก์หนุนหลัง เดี๊ยนถึงอยากให้แฟนคลับคิดให้ดีก่อนลุยสุดซอย หลังหุ้นเริ่มโค้งตัวลงมาให้เห็นอีกครั้ง ก่อนจะยืนปิดไปที่ระดับ 1.65 บาท ลบไป 0.01 บาท หรือลงไป 0.60% ด้วยมูลค่าการซื้อขายที่แห้งเหือด 21 ล้านบาทไงละคะ

เม้าท์ถึงหุ้นเสียทรงเยอะพอสมควร “โมนิก้า” ขอเม้าท์ถึงหุ้นที่เริ่มมีทรงสำหรับการลงทุนระยะยาวอย่าง DITTO กันสักหน่อยดีกว่า เพราะพรายกระซิบเม้าท์ให้ฟังว่า ยังมีทีเด็ดที่จะทยอยปล่อยของออกมาให้เห็นเรื่อย ๆ ซึ่งแต่ละโปรเจกต์ก็เกี่ยวข้องโดยตรงกับ Paperless ซึ่งเป็นช็อตที่สร้างแวลูให้กับตัวหุ้นเต็ม ๆ หรือแม้กระทั่งการผสานความร่วมมือกับ TEAMG แบบจัดเต็ม ก็ทำให้ทั้งคู่ วิน-วิน ได้อย่างสวยหรู เดี๊ยนถึงไม่แปลกใจที่วานนี้หุ้นวิ่งขึ้นมาปิดที่ 68 บาท บวกไป 7.25 บาท หรือขึ้นไป 11.90% ด้วยมูลค่าการซื้อขาย 1.04 พันล้านบาทเจ้าค่ะ

Back to top button