พาราสาวะถี

ยิ่งสาวไส้ยิ่งเห็นความไม่ชอบมาพากลต่อกระบวนการทำงานของขบวนการสืบทอดอำนาจ ปม 8 ปีความเป็นนายกรัฐมนตรีของผู้นำเผด็จการสืบทอดอำนาจ


ยิ่งสาวไส้ยิ่งเห็นความไม่ชอบมาพากลต่อกระบวนการทำงานของขบวนการสืบทอดอำนาจ ปม 8 ปีความเป็นนายกรัฐมนตรีของผู้นำเผด็จการสืบทอดอำนาจ ที่ศาลรัฐธรรมนูญสั่งให้เลขาธิการสภาผู้แทนราษฎรส่งสำเนาการประชุม บันทึกการประชุม และรายงานการประชุมคณะกรรมการร่างรัฐธรรมนูญ ครั้งที่ 501 ซึ่งมีวาระการประชุมรับรองการบันทึกประชุม กรธ.ครั้งที่ 500 ที่คณะอนุกรรมการพิจารณาตรวจบันทึกการประชุมและรายงานการประชุมตรวจทานแล้วโดยไม่มีการแก้ไข

ปรากฏว่าเมื่อไปตรวจสอบจากสำนักงานเลขาธิการสภาผู้แทนราษฎรในส่วนที่เกี่ยวข้องกับการประชุม กรธ. แล้ว การประชุมของ กรธ.ในช่วงที่ทำความมุ่งหมายของรัฐธรรมนูญ 2560 ซึ่งเป็นช่วงเวลาหลังจากที่ทำรัฐธรรมนูญ 2560 แล้วเสร็จนั้น พบว่ามีเพียงการทำบันทึกการประชุมเท่านั้น ไม่มีรายงานการประชุมที่ใช้เจ้าหน้าที่ชวเลขดำเนินการบันทึกจดคำพูดทุกตัวอักษร เนื่องจาก มีชัย ฤชุพันธุ์ อดีตประธาน กรธ.ระบุว่า ไม่ต้องใช้เจ้าหน้าที่ชวเลข เพราะผ่านขั้นตอนการทำรัฐธรรมนูญแล้ว

ทำไมถึงเป็นเช่นนั้น หรือคนระดับมีชัยมองเห็นว่าการประชุม กรธ.ครั้งที่ 500 และ 501 เป็นเพียงการพูดคุยหารือกัน ทั้งที่ สิ่งที่ดำเนินการกันนั้นมีความสำคัญ เพราะเป็นการจัดทำคู่มือตีความรัฐธรรมนูญ สิ่งสำคัญ คือ การประชุมทุกครั้งมีต้นทุน คือ เบี้ยประชุมที่ใช้งบประมาณแผ่นดิน แล้วจะมาบอกว่าแค่การนั่งคุยกันเฉย ๆ ไม่จริงจัง ยึดเอาเป็นหลักฐานอะไรไม่ได้ เจ้าหน้าที่ก็จดบันทึกการประชุมผิด ถามว่าไม่มีการบันทึกภาพหรือเสียงระหว่างประชุมกันหรือ ถ้าทำกันแบบนี้จะเรียกว่าเป็นความน่าอัปยศอดสูหรือไม่

อย่างไรก็ตาม ตามที่มีชัยอ้างในคำชี้แจงว่าการประชุม กรธ.ครั้งที่ 500 เป็นการจดรายงานที่ไม่ครบถ้วน และสรุปตามความเข้าใจของผู้จด อีกทั้ง กรธ. ยังไม่ได้ตรวจรับรองรายงานการประชุมนั้น ในบันทึกการประชุม กรธ.ครั้งที่ 501 มีคำยืนยันว่า ผ่านการพิจารณาตรวจบันทึกการประชุมและรายงานการประชุม โดยคณะอนุกรรมการ ที่มี อภิชาต สุขัคคานนท์ อดีต กรธ.ในฐานะประธานอนุกรรมการ ซึ่งคณะดังกล่าวมี สุพจน์ ไข่มุกด์ รองประธาน กรธ.คนที่หนึ่ง ทำหน้าที่อนุกรรมการตรวจบันทึกการประชุมด้วย

โดยที่สุพจน์ก็เป็น 1 ในคนที่พูดในที่ประชุมครั้งที่ 500 ว่า การนับอายุความเป็นนายกฯ ของผู้นำเผด็จการสืบทอดอำนาจต้องเริ่มต้นตั้งแต่ปี 2557 ด้วยเช่นกัน เมื่อบันทึกประชุมครั้งที่ 501 ระบุว่า ที่ประชุมได้มีการรับรองบันทึกการประชุมครั้งที่ 500 โดยไม่มีการแก้ไข  เช่นนี้จึงเป็นหลักฐานแย้งที่มีชัยทำหนังสือชี้แจงต่อศาลรัฐธรรมนูญ และเป็นการยืนยันว่า 8 ปีในการเป็นนายกฯ ของผู้นำเผด็จการสืบทอดอำนาจ ต้องนับก่อนหน้าปี 2560 แต่ก็มีการโยนไปให้เจ้าหน้าที่ผู้บันทึกการประชุมว่าจดผิด ไปตีความเอาเอง

ถ้าเช่นนั้น นอกจากศาลรัฐธรรมนูญจะเรียกเอกสารการประชุมครั้งที่ 501 แล้ว คงต้องเรียกเจ้าหน้าที่ผู้บันทึกการประชุมครั้งที่ 500 และ 501 มาสอบให้เกิดความกระจ่างด้วย ยิ่งถ้าเป็นข้าราชการด้วยแล้ว การถูกกล่าวหาเช่นนี้ถ้าเป็นจริงถือเป็นความบกพร่อง เพราะนี่คือเรื่องสำคัญของประเทศ ขณะเดียวกัน ก็ต้องเอาให้ชัดว่า สรุปแล้วการประชุมทั้งสองครั้งนั้นเป็นการประชุมที่ถูกต้องตามกฎหมาย หรือเป็นการหารือแบบทั่วไป อะไรที่เกิดขึ้นก็นำมาใช้เป็นหลักฐานอ้างอิงไม่ได้ เช่นนั้น ผู้เข้าประชุมทุกคนถ้าเซ็นรับเบี้ยประชุมต้องคืนเงินกันด้วยหรือไม่

ฟากของผู้นำเผด็จการสืบทอดอำนาจ กับเอกสารคำชี้แจงที่ออกมา มีหลายประเด็นที่สะท้อนให้เห็นภาพของความหลงมัวเมาในอำนาจ อยากไปต่อ ขออยู่ยาว ซึ่ง สมชัย ศรีสุทธิยากร แยกแยะบางเรื่องมาชี้ให้เห็นว่า การชี้แจงแบบนี้มันมีน้ำหนักมากพอที่จะหักล้างข้อสงสัยของประชาชนต่อความชอบธรรมในการอยู่บนตำแหน่งนายกฯ ที่ไม่เป็นไปตามรัฐธรรมนูญอย่างนั้นหรือ ความผิดพลาดเรื่องถวายสัตย์ปฏิญาณรอบนั้นก็น่าจะเป็นบทเรียน และควรจะเลิกแถกันต่อไปอีกได้แล้ว

ประเด็นที่สมชัยคลี่ออกมานำเสนอจากคำชี้แจงของผู้นำเผด็จการสืบทอดอำนาจก็คือ การที่บอกว่าตัวเองเป็นคนที่ซื่อสัตย์ สุจริต จงรักภักดี ไม่ขัดกับหลักมาตรฐานสากลและเจตนารมณ์ของรัฐธรรมนูญ คงไม่มีใครเถียง และแน่นอนว่าคุณสมบัติเช่นนี้คนไทยส่วนใหญ่ก็ไม่ได้มีน้อยกว่าท่านผู้นำ หรืออาจจะมีมากกว่าเสียด้วยซ้ำไป สิ่งสำคัญ คือ สิ่งที่ยกมาอ้างนั้นมันคนละเรื่องกับข้อห้ามในการเป็นเกิน 8 ปี ถ้าตรรกะนี้คนดี แบบนี้ก็จะอยู่ในตำแหน่งได้ชั่วฟ้าดินสลาย

ในคำชี้แจงชี้ให้เห็นว่า บันทึกการประชุมครั้งที่ 500 เป็นเพียงบทสนทนาระหว่างคนสองคน ประเด็นนี้นี่แหละที่ฝ่ายขบวนการสืบทอดอำนาจยกมาเป็นข้อโต้แย้งหลัก แม้กระทั่งคนที่เคยเป็นอดีตประธาน กรธ.เอง จนถูกมองว่ากลืนน้ำลายตัวเองแบบไม่ละอายใจ ถ้าเป็นการคุยกันในห้องน้ำที่ลับตาคนแบบสองต่อสองก็ว่าไปอย่าง แต่นี่ถาม-ตอบกันในที่ประชุมต่อหน้ากรรมการทั้งคณะ  ประธาน กรธ.ถาม รองประธาน กรธ.ตอบ ไม่มีคนโต้แย้ง เลขาฯ ก็จด  แล้วมีการรับรองถูกต้อง แบบนี้เรียกว่าเป็นเพียงการคุยกันสองคนอย่างนั้นหรือ

คำชี้แจงที่เหมือนเป็นคำสั่งชวนให้คิด คือ ศาลต้องตีความตามกฎหมายไม่ใช่ตามข้อเท็จจริงที่รับรู้ของประชาชนทั่วไป ในความเห็นของสมชัย คือ กฎหมายจะใหญ่กว่ากฎธรรมชาติได้ไง แต่นั่นไม่ใช่ประเด็นสำคัญ คำชี้แจงในกรณีนี้มันก็เหมือนการรับสารภาพโดยตรง ความเป็นนายกฯ 8 ปีของผู้นำเผด็จการสืบทอดอำนาจนั้น “เป็นข้อเท็จจริงรับรู้โดยทั่วไปของประชาชน” นี่ไงแทบจะไม่ต้องอธิบายอะไรกัน ถึงไล่ให้ไปถามเด็กอนุบาลว่า ลุงเป็นนายกฯ มากี่ปีแล้ว คำตอบที่ได้มันชัดเจนอยู่ในตัว

ไม่ต่างกันกับคำชี้แจงเรื่องนายกฯ ขาดตอน คนละตอนต้องไม่นับ  เหมือนที่บอกไปวันก่อนไม่เคยมีมาในประวัติศาสตร์การเมืองไทยที่เมื่อรัฐธรรมนูญฉบับใหม่มีผลบังคับใช้แล้ว จะตัดความเป็นนายกฯ ของคนที่เคยดำรงตำแหน่งก่อนหน้านั้นไป กรณีนี้เอาง่าย ๆ ลุงรับเงินเดือนขาดตอนหรือไม่ ยิ่งตอนเป็นนายกฯ ควบหัวหน้า คสช. ช่วยบอกหน่อยว่ารับเงินเดือนจากหัวโขนส่วนไหน หรือทั้งสองทาง มันชัดเสียยิ่งกว่าชัดว่าผู้นำเผด็จการสืบทอดอำนาจเป็นนายกฯ มากี่ปีแล้ว ย้ำอีกหน ให้คนที่เขียนรัฐธรรมนูญประกาศมาเลยไหมละว่า กฎหมายข้อนี้ใช้บังคับกับทุกคน ยกเว้นคนชื่อ ประยุทธ์ จันทร์โอชา ทุกอย่างจะได้จบและเข้าใจตรงกัน

Back to top button