PLUS พุ่งแรง 6% “ออลไทม์ไฮ” กางแผน 5 ปี โกยรายได้ 4 พันล้าน โบรกแนะซื้อเป้า 8 บ.
PLUS พุ่งแรง 6% “ออลไทม์ไฮ” กางแผน 5 ปี (ปี 65-69) โกยรายได้ 4 พันล้าน รุกขยายตลาด-เพิ่มกำลังผลิต-ออกโปรดักส์ใหม่หนุน โบรกแนะซื้อเป้า 8 บาท
ผู้สื่อข่าวรายงานว่า วันนี้ (15 ก.ย.65) ราคาหุ้น บริษัท โรแยล พลัส จำกัด (มหาชน) หรือ PLUS ณ เวลา 10:38 น. อยู่ที่ระดับ 11.00 บาท บวก 0.60 บาท หรือ 5.77% สูงสุดที่ระดับ 11.50 บาท ต่ำสุดที่ระดับ 10.40 บาท ด้วยมูลค่าการซื้อขาย 199.30 ล้านบาท ราคาหุ้นสูงสุดตั้งแต่เข้าตลาดเมื่อวันที่ 20 พ.ค.65
โดยก่อนหน้านายพลแสง แซ่เบ๊ กรรมการผู้อำนวยการ PLUS เปิดเผยกับ “ข่าวหุ้นธุรกิจออนไลน์” ว่า บริษัทยังคงเป้าหมายรายได้ปีนี้ไว้ 1,500 ล้านบาท เติบโต 50% เมื่อเทียบกับงวดเดียวกันของปีก่อน ซึ่งก็เห็นได้จากครึ่งปีแรกโชว์กำไรสุทธิก้าวกระโดดเติบโต 2 เท่าตัว และเชื่อว่าครึ่งปีหลังจะเติบโตต่อเนื่องจากคำสั่งซื้อเร่งตัวขึ้นจากตลาดสหรัฐอเมริกาที่เป็นตลาดหลัก ผนวกกับสถานการณ์ตู้คอนเทนเนอร์มีการคลี่คลายดีขึ้น และค่าระวางเรือปรับลงจากช่วงก่อนหน้าถือเป็นปัจจัยบวกต่อบริษัททำให้ต้นทุนลดลง
นอกจากนี้การฟื้นตัวของตลาดสหรัฐอเมริกาซึ่งเป็นตลาดหลักรวมถึงตลาดตะวันออกกลาง ส่งผลให้สินค้ากลุ่มหลักอย่างน้ำนมมะพร้าวและน้ำมะพร้าวมีการเติบโตดีขึ้น รวมทั้งได้อานิสงส์เชิงบวกจากค่าเงินบาทอ่อนค่า เบื้องต้นยังคงประเมินว่าผลการดำเนินงานในไตรมาส 3/2565 จะเติบโตต่อเนื่องจากไตรมาสก่อน และจากงวดเดียวกันของปีก่อน
ทั้งนี้บริษัทมีโปรดักส์ใหม่ออกขายเป็นสินค้ากลุ่ม Plant-Based เช่น “โคโคนัท โยเกิร์ต” ซึ่งสามารถเก็บรักษาได้นานถึง 18 เดือน และชานมที่อยู่ระหว่างขยายตลาดในจีน (Own Brand) มีคำสั่งซื้อฟื้นตัวดีขึ้น โดยปัจจุบัน PLUS มีสัดส่วนยอดขายต่างประเทศกว่า 99% ซึ่งกลุ่มลูกค้าส่วนใหญ่ยังคงเน้นสหรัฐอเมริกา ส่วนยุโรปบริษัทจะลองเข้าไปขยายตลาด และยังมีลูกค้ากลุ่มเอเชียอย่าง ประเทศจีน ญี่ปุ่น เกาหลี เป็นต้น
สำหรับเครื่องดื่มกลุ่มน้ำมะพร้าวปัจจุบันส่งสินค้าเข้าห้าง Walmart แล้วกว่า 2,000 สาขา พร้อมมีแผนจะนำเงินจากการระดมทุนไปขยายกำลังการผลิตเพิ่มจากเดิมผลิตขวดแก้ว 5 ไลน์ผลิต ซึ่งมีกำลังการผลิตประมาณ 200 ล้านขวดต่อปี โดยจะไปเพิ่มกำลังการผลิตขวดพลาสติก (PET) เพิ่มอีก 1 ไลน์ผลิตใหม่ โดยมีกำลังการผลิต 76 ล้านขวดต่อปี หรือคิดเป็น 400 ขวดต่อนาที คาดจะเริ่มเดินเครื่องไตรมาส 1/2566 เพื่อรองรับดีมานด์ที่มากขึ้น หลังจากบริษัทมีแผนขยายธุรกิจไปยังประเทศกัมพูชา, ลาว, พม่า, เวียดนาม, ฟิลิปปินส์ และสิงคโปร์ รวมทั้งลงทุนในระบบเทคโนโลยีและเครื่องจักรเพิ่มเติม เพื่อขยายตลาดใหม่สอดรับเทรนด์อุตสาหกรรมอาหารและเครื่องดื่มที่จะเติบโตในอนาคต
สำหรับในปัจจุบัน PLUS ขยับขึ้นมาเป็นผู้ส่งออกน้ำผลไม้ลำดับที่ 3 ของประเทศจากเดิมลำดับที่ 12 และขึ้นชั้นเป็นลำดับที่ 1 ของกลุ่มน้ำผลไม้ผสมจากลำดับที่ 3 เมื่อสิ้นปี 2564 ตอกย้ำศักยภาพในการดำเนินธุรกิจในฐานะผู้ผลิตและส่งออกรายใหญ่ของประเทศ
อย่างไรก็ดีไตรมาส 4/2565 อาจจะไม่ได้เป็นช่วง Low season เหมือนทุกปีเพราะบริษัทได้รับคำสั่งซื้อล่วงหน้าจากสหรัฐอเมริกาเข้ามาอย่างล้นหลามจากการขยายตลาดหาพันธมิตรใหม่ อีกทั้งบริษัทได้ไปออกงานแสดงสินค้าตามที่ต่างๆก็ได้รับกระแสตอบรับเป็นอย่างดี ทั้งนี้จึงได้เริ่มแผนขยายตลาดในประเทศ นำร่องจำหน่ายสินค้าผ่าน Gourmet market, Food Land, Jiffy และ Shopping online ที่จะขับเคลื่อนการเติบโตของยอดขายทั้งในรูปแบบออฟไลน์และออนไลน์
นอกจากนี้บริษัทเตรียมติดตั้งโซลาร์รูฟท็อปเฟสแรกมีกำลังผลิต 1 เมกะวัตต์ คาดช่วยลดต้นทุนค่าไฟฟ้าราว 30% โดยจะเริ่มในปี 2566 และในอนาคตจะยังมีการติดตั้งเพิ่ม ส่วนการที่ภาครัฐประกาศขึ้นค่าแรงขั้นต่ำนั้นบริษัทได้รับผลกระทบเพียงเล็กน้อย
ด้านพื้นที่ตั้งโรงงานบริษัทมีพื้นที่ 83 ไร่ ปัจจุบันใช้พื้นที่ไปแล้วจำนวน 40 ไร่ ซึ่งยังสามารถขยายพื้นที่การผลิตได้อีกมาก นอกจากนี้บริษัทอยู่ระหว่างการศึกษาการลงทุนซื้อสวนมะพร้าวเพื่อที่จะสามารถจัดสรรวัตถุดิบได้อย่างคล่องตัวและสามารถลดต้นทุนได้อีกด้วย
สำหรับผลการดำเนินงานช่วง 5 ปีต่อจากนี้ (ปี 2565-2569) บริษัทวางเป้ารายได้ไว้ที่ 4,000 ล้านบาท เพื่อสะท้อนการเติบโตที่แข็งแกร่ง โดยในปี 2566 บริษัทคาดการณ์ว่ารายได้จะเติบโตมากกว่า 20-30% ซึ่งยังไม่รวมโปรดักส์ใหม่
ด้านบล.ฟินันเซีย ไซรัส ระบุในบทวิเคราะห์ว่า คาดแนวโน้มกำไรไตรมาส 3/65 และ ไตรมาส 4/65 จะอ่อนตัวลงตามฤดูกาล เพราะเป็น Low Season ของธุรกิจ แต่คาดจะเป็นกำไรที่เติบโตสูงจากงวดเดียวกันของปีก่อน เพราะฐานต่ำในปีก่อน ทั้งนี้บริษัทอยู่ระหว่างขยายกำลังการผลิตทั้งสายการผลิตขวดแก้ว และสายการผลิตใหม่เป็นขวด PET คาดจะเริ่มรับรู้สายขวด PET ได้ในปี 66 โดยควบคู่ไปกับการขยายช่องทางการขายและสินค้าใหม่ทั้งกลุ่ม Plant-based, เครื่องดื่มเพื่อสุขภาพ และชานมไข่มุก ทั้งนี้อยู่ระหว่างปรับเพิ่มกำไรปกติปี 65 ขึ้นจากปัจจุบันคาดไว้ที่ 184 ล้านบาท เติบโต 114.30% จากงวดเดียวกันของปีก่อน และจะปรับเพิ่มราคาเป้าหมายปี 65 จากปัจจุบันที่ให้ไว้ 7 บาท เบื้องต้นอาจขยับขึ้นเป็น 8 บาท (อิงค่า PE เดิม 25 เท่า)