พาราสาวะถี
ภาพการลงพื้นที่ทั้งในฐานะรักษาราชการแทนนายกฯ ด้วยบุคลิกที่ทะมัดทะแมง เป็นการยืนยันต่อถ้อยคำที่พี่ใหญ่แก๊ง 3 ป.บอกว่า “ใช้ใจบันดาลแรง”
ภาพการลงพื้นที่ทั้งในฐานะรักษาราชการแทนนายกรัฐมนตรี และหัวหน้าพรรคสืบทอดอำนาจ ด้วยบุคลิกที่ทะมัดทะแมง เป็นการยืนยันต่อถ้อยคำที่พี่ใหญ่แก๊ง 3 ป.บอกว่า “ใช้ใจบันดาลแรง” อีกด้านก็เป็นการตอกย้ำความไม่ลงรอยกันระหว่าง 3 พี่น้องบูรพาพยัคฆ์ และน่าจะเป็นสิ่งที่ทำให้น้องเล็กและน้องรองรู้ซึ้งถึงกลเกมทางการเมืองเป็นอย่างดี เมื่อก่อนหน้านี้พี่ใหญ่บอกกับคนอื่นมาตลอดร่างกายไม่ฟิตปั๋งดังเดิม จึงไม่ได้เห็นภาพการลงพื้นที่ร่วมกันของสามพี่น้อง
แต่พลันที่ศาลรัฐธรรมนูญมีคำสั่งให้น้องเล็กหยุดการปฏิบัติหน้าที่ตั้งแต่ 24 สิงหาคมเป็นต้นมา พี่ใหญ่ก็ออกลูกขยันขันแข็ง ลงพื้นที่ตรวจราชการในฐานะนายกฯ รักษาการทุกวันจันทร์ มิหนำซ้ำ ยังแถมด้วยการตระเวนไปปรากฏตัว ปราศรัยหาเสียงให้กับสมาชิกของพรรคเก่าแก่ตามจังหวัดต่าง ๆ ในช่วงวันหยุดอีกต่างหาก เช่นนี้จะเชื่อได้อย่างไรว่าพี่ไม่ไหว ไม่อยากเป็นผู้นำประเทศ ดังนั้น การได้ไปต่อหรือจอดด้วยเงื่อนไขอยู่ในตำแหน่งครบ 8 ปีแล้วของน้องเล็ก จึงมีความหมายทางการเมืองเป็นอย่างยิ่ง
ในส่วนของขบวนการสืบทอดอำนาจ การได้ไปต่อก็ไม่ใช่ว่าจะเดินหน้ากันไปอย่างราบรื่น เรียบร้อยเหมือนที่ผ่านมา โดยเฉพาะกับความเบื่อหน่ายของคนส่วนใหญ่ ไม่ใช่เป็นธรรมชาติของการเมืองที่ใครอยู่ยาวแล้วทำให้คนอยากเปลี่ยนแนวกันบ้าง ปัจจัยสำคัญมันอยู่ที่ผลงาน เพราะตลอดระยะเวลากว่า 8 ปีที่ผ่านมานั้น หากทำให้ประชาชนอยู่ดี กินดี มีความมั่นคง มั่งคั่ง ยั่งยืนอย่างที่เที่ยวโพนทะนาจริง ในภาวะที่ตกอยู่ในสถานการณ์คับขันเช่นนี้คงจะมีแต่คนเห็นใจและให้กำลังใจ
เมื่อเป็นไปในทางตรงข้าม จะมีก็แต่พวกหลับหูหลับตาเชียร์ กับขบวนการไอโอเท่านั้น ที่ยังเห็นว่าประเทศไทยจะขาดคนชื่อ ประยุทธ์ จันทร์โอชา ไปไม่ได้ สวนทางกับเสียงส่วนใหญ่ที่สวมบทกองแช่งให้รีบหลุดจากวงโคจรอำนาจไปเสียที มิเช่นนั้น บ้านเมืองไม่มีทางเดินไปข้างหน้าได้ พี่ใหญ่แก๊ง 3 ป.ถือว่าเป็นคนที่เข้าใจบริบททางการเมืองเป็นอย่างดี เนื่องจากเลือกที่จะยืนอยู่บนโลกแห่งความเป็นจริง ไม่หลงใหลได้ปลื้มไปกับคำสรรเสริญเยินยอทั้งหลาย
ความจริงอาจจะบอกได้ว่า ความผิดพลาดที่นำมาซึ่งความบาดหมางระหว่างพี่ใหญ่กับน้องเล็กนั้น ไม่ได้เพิ่งเริ่มต้นมาจากจุดความขัดแย้งกับ ธรรมนัส พรหมเผ่า หากแต่เป็นมาตั้งแต่หลังเลือกตั้งและตั้งรัฐบาลกันแล้ว เมื่อน้องเล็กเลือกที่จะยึดเอาอำนาจที่เคยอยู่ในมือของพี่ใหญ่ทั้งในฐานะรัฐมนตรีว่าการกระทรวงกลาโหม และการได้คุมสำนักงานตำรวจแห่งชาติไปไว้กับตัวเองทั้งหมด แม้ปากจะบอกว่าไม่ได้ติดใจอะไร แต่ความเป็นจริงสิ่งที่อยู่ภายในใจ คือ ถ้าให้เกียรติกันต้องไม่รวบงานที่พี่ใหญ่เคยคุมไปไว้กับตัวเองทั้งหมด
แน่นอน ภาพที่ปรากฏต่อสื่อ หรือความพยายามที่จะตอกย้ำกับสังคมว่ายังรักกันเหนียวแน่นนั้น ไม่ต้องอธิบายซ้ำแล้วซ้ำอีก แค่การสร้างภาพ เพราะความเป็นจริงต่อให้ไม่มีปม 8 ปีนายกฯ จนผู้นำเผด็จการสืบทอดอำนาจถูกสั่งหยุดทำหน้าที่ ทิศทางการเมืองสำหรับการเตรียมความพร้อมเพื่อการเลือกตั้งครั้งหน้าของแก๊ง 3 ป.ก็ไม่เป็นน้ำหนึ่งใจเดียวกันอยู่ดี อันเป็นผลสืบเนื่องมาจากกระแสที่นักเลือกตั้งอาชีพรู้ดีว่า พรรคสืบทอดอำนาจไม่อาจมีแคนดิเดตนายกฯ เป็นเพียงผู้นำเผด็จการสืบทอดอำนาจคนเดียวเหมือนเดิมได้อีก
ไม่เพียงแค่จะมีชื่อของพี่ใหญ่ประกบกับน้องเล็กเท่านั้น ยังจะพ่วงด้วยบุคคลที่สาม อันเป็นที่ยอมรับของคนทั้งในแวดวงการเมืองและทั่วไป มาเป็นจุดขายให้กับพรรคสืบทอดอำนาจด้วย โดยที่ผู้นำเผด็จการสืบทอดอำนาจก็รู้ดีถึงการเดินเกมการเมืองแบบนี้ของพี่ใหญ่ จึงได้มีการแยกตัวไปตั้งพรรคของคนใกล้ชิดที่วางใจเพื่อจะใช้รองรับการอยู่ยาวของท่านผู้นำโดยเฉพาะนั่นเอง แต่จนถึงเวลานี้แม้ผลวินิจฉัยของศาลรัฐธรรมนูญจะได้ไปต่อ ก็ยังไม่รู้ว่าพรรคที่ว่านั้นยังจะเดินกันต่อไปตามเป้าหมายเดิมที่วางไว้หรือไม่
เนื่องจากความเคลื่อนไหวทางการเมืองขณะนี้ บรรดานักเลือกตั้งที่เคยทาบทามไว้ หลังจากได้เห็นกระแสของประชาชนแล้ว เดิมคิดว่าถ้าย้ายค่ายไปเลือกข้างผู้นำเผด็จการสืบทอดอำนาจก็ยังมีโอกาสมากที่จะได้ยืนอยู่ฝ่ายรัฐบาล ดีไม่ดีอาจจะทำให้มีตำแหน่งในฝ่ายบริหารเป็นของแถม แต่ความเป็นจริงลองไปถามนักการเมืองในพื้นที่ คะแนนนิยมของท่านผู้นำไม่กระเตื้องขึ้นมาแม้แต่น้อย มีแต่จะตกต่ำลงเรื่อย ๆ ดังนั้น ใครที่คิดว่าจะร่วมเดินทางด้วยมีโอกาสกลายเป็น ส.ส.สอบตกสูง
ด้วยเหตุนี้มันจึงทำให้เกิดภาวะหันรีหันขวางทางการเมือง สำหรับคนที่เคยตกปากรับคำกันไว้ ส่วนนอมินีที่ไปถากถางทางรอก็ไม่รู้จะหมู่หรือจ่า พอมาเกิดปรากฏการณ์ประชาธิปัตย์หักกับภูมิใจไทย สถานการณ์ยิ่งไปกันใหญ่ เด่นชัดว่าพื้นที่เป้าหมายของแต่ละพรรคนั้นการแข่งขันจะหนักหน่วง โดยที่พรรคเพื่อไทยที่ประกาศจะได้รับเลือกแบบแลนด์สไลด์ รุกหนักด้วยการเดินสายหาเสียงต่อเนื่อง ก็เป็นการบีบให้พรรคการเมืองอื่นต้องรีบตัดสินใจในการวางตัวผู้สมัครกันโดยเร็ว
ปัญหาที่ตามมาของแต่ละพรรค คือ ว่าที่ผู้สมัครในหลายเขตที่ยังไม่ลงตัวจะแย่งชิงกันเสนอตัวจนกลายเป็นความขัดแย้ง หากบานปลายก็จะกระทบกับภาพใหญ่สำหรับการเตรียมตัวเลือกตั้งด้วย แต่นั่นไม่ใช่ปัญหาใหญ่ เพราะถ้าผลประโยชน์ลงตัวทุกอย่างก็จบ แต่โจทย์ใหญ่ที่จะซื้อใจประชาชนในการเลือกตั้งครั้งหน้า คือ แต่ละพรรคการเมืองจะต้องแสดงจุดยืนให้ชัดว่าจะสนับสนุนใครให้มาเป็นผู้นำในการบริหารประเทศ
ประเด็นนี้แหละที่จะวกกลับมาทำให้การทำงานการเมืองของพรรคเนื้อหอมอย่างภูมิใจไทยต้องขบคิดกันหนัก แม้ว่าจะใช้สูตรการเมืองเดิมที่กุมอำนาจ คุมกระทรวงใหญ่ ทุ่มงบประมาณสร้างผลงานในพื้นที่เป้าหมายเพื่อซื้อใจคนให้เลือกผู้สมัครของตัวเอง แต่ท่วงทำนองที่ไม่ชัดเจนของ อนุทิน ชาญวีรกูล มันจะส่งผลต่อการเลือกตั้ง หากยังแทงกั๊กด้วยท่าทีพร้อมผสมพันธุ์กับทุกพวกทุกฝ่าย จากที่ตั้งเป้าเป็นพรรคอันดับสอง กุมอำนาจในการต่อรองหลังเลือกตั้งอาจจะไม่เป็นเช่นนั้น เพราะคนที่เบื่อหน่ายอำนาจปัจจุบันจะหันไปเลือกฝ่ายตรงข้าม อย่าคิดว่าภาพการเมืองเหมือนเลือกตั้งปี 2554 จะไม่มีโอกาสเกิดขึ้นอีก