SCC สเปรดลด ต้นทุนเพิ่ม
ดูแล้วในรอบสัปดาห์ที่ผ่านมา หุ้น SCC ถูกเทขายหนัก แต่ละวันไม่ต่ำกว่าพันล้านบาท ส่งผลให้ราคาไหลรูดไปเกือบ 10%
ดูแล้วในรอบสัปดาห์ที่ผ่านมา หุ้นบริษัท ปูนซิเมนต์ไทย จำกัด (มหาชน) หรือ SCC ถูกเทขายหนัก แต่ละวันไม่ต่ำกว่าพันล้านบาท ส่งผลให้ราคาไหลรูดไปเกือบ 10%…ก็ถูกตั้งคำถามว่าเกิดอะไรขึ้นกับ SCC..? เหตุใดนักลงทุนถึงพร้อมใจกันเทหุ้นขนาดนี้..?
พอไปสแกนดู อ้อ…มีการประมาณการกำไรในช่วงครึ่งปีหลังไม่ค่อยสดใส สารตั้งต้นมาจากธุรกิจปิโตรเคมี ที่เป็นทัพหน้าปั๊มกำไรให้กับ SCC ในช่วงหลายปีที่ผ่านมา กำลังเผชิญความท้าทายครั้งใหญ่ จากการเข้าสู่ภาวะเศรษฐกิจถดถอยในหลายประเทศ สวนทางกับอุปทานใหม่ที่กำลังทยอยเข้ามา ส่งผลให้สเปรดของผลิตภัณฑ์หลักลดลงอย่างมีนัยสำคัญ
ครั้นจะหันไปพึ่งพาธุรกิจซีเมนต์และผลิตภัณฑ์ก่อสร้าง อาการก็ยังไม่สู้ดีนัก เนื่องจากไตรมาส 3 เป็นช่วงหน้าฝน ทำให้ความต้องการใช้ซีเมนต์และผลิตภัณฑ์ก่อสร้างลดลง
เลยเป็นที่มาของการคาดการณ์กันว่า กำไรจากธุรกิจปิโตรเคมีจะลดเหลือไตรมาสละ 500 ล้านบาทในช่วงสองไตรมาสที่เหลือของปีนี้ ส่วนธุรกิจซีเมนต์และผลิตภัณฑ์ก่อสร้างจะมีกำไรไตรมาสละ 1,300-1,500 ล้านบาท
แต่สิ่งที่ไม่ลดเลย เป็นขาของต้นทุน ซึ่ง SCC มี 2 ต้นทุนหลัก ได้แก่ ต้นทุนถ่านหิน แม้ราคาเริ่มปรับลดลงแต่ก็ยังทรงตัวอยู่ในระดับสูง ซึ่งโรงงานต่าง ๆ ของ SCC ส่วนใหญ่ใช้พลังงานถ่านหินเป็นเชื้อเพลิง ดังนั้นถ้าจะบอกว่า SCC ถูกถ่านหินเผากำไร ก็คงไม่ผิดนัก…
ตามมาด้วยต้นทุนไฟฟ้า เนื่องจากมีการปรับขึ้นค่า Ft ในช่วงที่ผ่านมา ซึ่งทำให้ SCC ต้องแบกค่าไฟฟ้าเพิ่มขึ้น
โอเค…แม้สถานการณ์ของต้นทุนในไตรมาส 3 จะดีขึ้นจากไตรมาส 2 แต่ก็ยังเป็นตัวการหลักที่กัดกร่อนกำไรของ SCC..!!
ส่วนธุรกิจบรรจุภัณฑ์ หรือแพ็กเกจจิ้ง แม้ไม่แย่ แต่ก็ไม่เด่น และเนื่องจากยังเป็นสัดส่วนที่น้อยอยู่ จึงไม่สามารถไปชดเชยกับกำไรจากธุรกิจปิโตรเคมีและธุรกิจซีเมนต์และผลิตภัณฑ์ก่อสร้างที่หายไปได้…โดยคาดจะมีกำไรไตรมาสละ 2,000-2,100 ล้านบาท
SCC จึงตกอยู่ในสถานการณ์สเปรดลด…แต่ต้นทุนเพิ่มนั่นเอง..!!
จากปัจจัยข้างต้น ทำให้นักลงทุนประเมินแล้วว่าผลงานของ SCC ในช่วงครึ่งปีหลังคงไม่เร้าใจวัยโจ๋แหง ๆ เลยเกิดปรากฏการณ์ขายเพื่อหนีตายกันจ้าละหวั่น..!!
ขณะที่นักวิเคราะห์ก็พร้อมใจกันหั่นเป้ากำไรปี 2565-2566 ลง โดยคาดปี 2565 จะมีกำไรสุทธิราว 28,979 ล้านบาท ลดลง 39% จากปีก่อน ก่อนจะฟื้นตัวดีขึ้นเป็น 35,637 ล้านบาท ในปี 2566 แต่เนื่องจากคาดว่าจะเห็นผลประกอบการเริ่มกลับเข้าสู่ภาวะปกติตั้งแต่กลางปี 2566 เป็นต้นไป รับปัจจัยหนุนจากกำลังการผลิตของปิโตรคอมเพล็กซ์แห่งใหม่ในเวียดนาม จึงยังแนะนำ “ซื้อ” เป้าหมาย 420 บาท
แต่ถ้าใครเห็นต่างจากนี้ ก็ไม่ว่ากัน…
หรือจะมองว่านี่เป็นช่วงลดกระหน่ำซัมเมอร์เซลให้ช้อปของดีราคาถูก เพื่อรับปันผลยีลด์เฉลี่ย 4-5% ต่อปี ก็ไม่เสียหาย
เอาเป็นว่า ใครใคร่ซื้อ ก็ซื้อ…ใครใคร่ขาย ก็ขาย…
เลือกที่สบายใจละกัน…
…อิ อิ อิ…