“ธปท.” ยัน! ไม่แทรกแซงค่าเงินบาท หวั่นซ้ำรอย “ต้มยำกุ้ง”
“เศรษฐพุฒิ” ยืนยันไม่เข้าแทรกแซงค่าเงินบาท ปล่อยตามกลไกตลาดฯ หวั่นซ้ำรอยต้มยำกุ้ง มั่นใจทุนสำรองระหว่างประเทศอยู่ในระดับสูง 2.4 แสนล้านดอลลาร์ ส่วนเงินเฟ้อหากสูงกว่าคาดการณ์ กนง.พร้อมประชุมนัดพิเศษทันที
นายเศรษฐพุฒิ สุทธิวาทนฤพุฒิ ผู้ว่าการธนาคารแห่งประเทศไทย หรือ ธปท. กล่าวว่า ธปท.ไม่ได้มีเป้าหมายในใจว่าจะต้องปรับขึ้นดอกเบี้ยเท่าไหร่ หรือปรับขึ้นกี่ครั้ง แต่ขึ้นอยู่กับเวลาและบริบทที่เหมาะสมกับประเทศไทยมากกว่า หากสถานการณ์เปลี่ยนไป โดยเฉพาะเงินเฟ้อพื้นฐานซึ่งเป็นสิ่งที่กังวล เพราะเป็นตัวสะท้อนว่าเครื่องยนต์เงินเฟ้อติดหรือไม่ หากปัจจัยเหล่านี้ต่างจากคาดการณ์ คณะกรรมการนโยบายการเงิน หรือ กนง. ก็พร้อมที่จะปรับทิศทางนโยบายการเงิน หรือพร้อมที่จะประชุมนัดพิเศษต่อไป
ขณะที่ กล่าวถึงค่าเงินบาทที่อ่อนค่าว่าธปท.ได้เฝ้าติดตามสถานการณ์ค่าเงินบาทอย่างใกล้ชิด และพร้อมที่จะเข้าไปดูแลตอนที่มีความผันผวนผิดปกติ เพราะไม่อยากให้กระทบกับการฟื้นตัวของเศรษฐกิจ แต่การดูแลจะต้องไม่ฝืนทิศทางตลาด
โดยสาเหตุการอ่อนค่าของเงินบาทนั้นเป็นผลมาจากเศรษฐกิจโลกและการแข็งค่าขึ้นของเงินดอลลาร์สหรัฐ ตั้งแต่ต้นปีถึงปัจจุบันเงินบาทอ่อนค่าแล้ว 12% ซึ่งอยู่ในระดับกลาง ๆ เมื่อเทียบกับประเทศอื่น ซึ่งธปท.พร้อมดูแลค่าเงินบาทในช่วงที่ผันผวนผิดปกติ เพราะไม่อยากให้กระทบต่อการการนำเข้าและส่งออก รวมถึงการฟื้นตัวของเศรษฐกิจ
สำหรับเงินบาทที่อ่อนค่าในปัจจุบัน มองว่ามีผลต่อเสถียรภาพไม่มากนัก เนื่องจากปัจจุบันไทยมีการกู้เงินจากต่างประเทศในระดับต่ำ ขณะที่ทุนสำรองระหว่างประเทศอยู่ในระดับสูงที่ 2.4 แสนล้านดอลลาร์สหรัฐ ส่วนการเคลื่อนย้ายของเงินทุนในปัจจุบันนั้นยังไม่มีอะไรที่น่าเป็นกังวล โดยพบว่ายังเป็นการไหลเข้าสุทธิอยู่
“ธปท.ได้เฝ้าติดตามสถานการณ์ค่าเงินบาทอย่างใกล้ชิด และพร้อมที่จะเข้าไปดูแลตอนที่ความผันผวนผิดปกติ เพราะไม่อยากให้กระทบกับการฟื้นตัวของเศรษฐกิจ และไม่อยากเห็นความผันผวนที่สูงเกินไป แต่การดูแลจะต้องไม่ฝืนทิศทางตลาด เพราะรู้ว่าคงฝืนไม่ได้ และไม่เหมาะสม อีกทั้งเราไม่ใช้นโยบายในการกำหนดอัตราแลกเปลี่ยน และไทยเองเคยมีบทเรียนจากวิกฤตปี 2540 มาแล้ว โดยธปท.เองไม่ได้มีระดับในใจว่าเงินบาทจะต้องอยู่ที่เท่าไหร่ แต่สิ่งที่ธปท.ดูคือไม่ให้เกิดความผันผวนจนส่งผลกระทบต่อการฟื้นตัวทางเศรษฐกิจ” นายเศรษฐพุฒิ กล่าว
ขณะที่ภาพรวมเศรษฐกิจไทยในปีนี้ ผู้ว่าธปท.เชื่อว่าจะฟื้นตัวได้ต่อเนื่อง จากอุปสงค์ภายในประเทศ ทั้งการบริโภคและการท่องเที่ยวที่กลับมาฟื้นตัวได้ดีขึ้น ส่วนภาวะเศรษฐกิจโลกที่มีแนวโน้มถดถอยนั้น ยอมรับว่าอาจจะส่งผลกระทบกับการส่งออก โดยล่าสุดธปท.ได้คาดการณ์ว่าเศรษฐกิจไทยในปีนี้จะขยายตัวได้ที่ 3.3% ขณะที่ปี 2566 ที่ระดับ 3.8% ซึ่งรวมสถานการณ์ดังกล่าวไว้แล้ว และอาจทำให้เศรษฐกิจไทยฟื้นตัวช้ากว่าที่ควรจะเป็น
สำหรับแนวโน้มอัตราเงินเฟ้อทั่วไปนั้น คาดว่าจะกลับเข้าสู่กรอบเป้าหมายที่ระดับ 1-3% ได้ในปี 2566 จากที่ทำสถิติสูงสุดในไตรมาส 3/2565 ขณะที่อัตราเงินเฟ้อพื้นฐานคาดว่าจะทำสถิติสูงสุดในไตรมาส 4/2565 โดยการปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ยนโยบายนั้น ถือเป็นเครื่องมือสำคัญที่จะช่วยทำให้เงินเฟ้อกลับเข้าสู่กรอบเป้าหมาย
ส่วนการส่งผ่านดอกเบี้ยนโยบายไปยังธนาคารพาณิชย์นั้น ถือเป็นเรื่องปกติ แต่ธปท.อยากเห็นการดำเนินการแบบค่อยเป็นค่อยไปและเหมาะสมกับสถานการณ์ เพราะสิ่งที่ธปท.อยากเห็นและต้องการคือให้ดำเนินการในทิศทางการปรับนโยบายการเงินเข้าสู่ภาวะปกติ