พาราสาวะถีอรชุน
ปมการร่างรัฐธรรมนูญเป็นประชาธิปไตยเพื่อให้ทุกฝ่ายทุกคนยอมรับหรือเพื่อตีกันบางพวกบางฝ่ายให้หลุดพ้นวงโคจรแห่งอำนาจ ยังเป็นที่ถกเถียงกันอยู่ ยี่ห้อเนติบริกรชั้นครูคงไม่ต้องไปไล่บี้ถามให้เมื่อยตุ้มว่าสิ่งที่ทำกันอยู่นั้นเพื่อใคร เพราะเมื่อฟังคำอธิบายแล้วจะต้องกลับมาตีความกันอีกหลายตลบ นี่แหละคือความสุดยอดของพวกที่จับไม่ได้ไล่ไม่ทัน
ปมการร่างรัฐธรรมนูญเป็นประชาธิปไตยเพื่อให้ทุกฝ่ายทุกคนยอมรับหรือเพื่อตีกันบางพวกบางฝ่ายให้หลุดพ้นวงโคจรแห่งอำนาจ ยังเป็นที่ถกเถียงกันอยู่ ยี่ห้อเนติบริกรชั้นครูคงไม่ต้องไปไล่บี้ถามให้เมื่อยตุ้มว่าสิ่งที่ทำกันอยู่นั้นเพื่อใคร เพราะเมื่อฟังคำอธิบายแล้วจะต้องกลับมาตีความกันอีกหลายตลบ นี่แหละคือความสุดยอดของพวกที่จับไม่ได้ไล่ไม่ทัน
แต่ไม่ว่าจะพยายามอธิบายกันมุมไหน หากมองย้อนไปในอดีตเนติบริกรชั้นครูก็ไม่เคยยกร่างรัฐธรรมนูญโดยมีที่มาตามครรลองของระบอบประชาธิปไตย ผลงานชิ้นโบว์ดำที่จำกันได้คือการยกร่างในยุคของเผด็จการรสช.จนเป็นที่มาของเหตุการณ์พฤษภาทมิฬปี 2535 หนนี้ยังเป็นเครื่องหมายคำถามอยู่ว่าบทสรุปจะจบลงอย่างไร
คงไม่ถึงเลือดเนื้อแต่จะยืดเยื้อลากยาวให้ประเทศอยู่ในสภาพแบบนี้ไปอีกนานเท่าใดยังไม่มีใครตอบได้ ในมุมการเมืองที่แหลมคมนั้น วันก่อน ผาสุก พงษ์ไพจิตร อาจารย์รัฐศาสตร์ จุฬาฯ ปาฐกถาพิเศษในงาน 100 ปี ป๋วย อึ๊งภากร โดยหยิบยกเอามุมความคิดด้านการเมืองของอาจารย์ป๋วยมาบอกกล่าวได้อย่างน่าฟัง แต่ไม่รู้ว่าผู้มีอำนาจอยากฟังหรือไม่
“ผมมีความเชื่อมั่นอย่างแน่นแฟ้นในประชาธิปไตยและในศักดิ์ศรีของมนุษย์ทุกคน ผมเชื่อในเสรีภาพและสิทธิมนุษยชนตามที่บัญญัติไว้ในปฏิญญาสากลของสหประชาชาติ ผมเชื่อในสิทธิของชายหญิงทุกคนที่จะมีส่วนร่วมในการกำหนดชะตากรรมสังคมที่เขาอาศัยอยู่ ผมเกลียดเผด็จการไม่ว่าจะมีรูปแบบสีสันใดก็ตาม ผมมีความเชื่อว่าระบอบประชาธิปไตยควรจะได้มาอย่างสันติวิธี เพราะผมต้องการหลีกเลี่ยงการใช้กำลังอาวุธในการรักษาอำนาจของรัฐบาล”
มาในยุคสมัยนี้การรักษาอำนาจไม่จำเป็นต้องใช้อาวุธ หากแต่มีการออกแบบกฎหมายพิเศษที่เบ็ดเสร็จเด็ดขาดเป็นยาวิเศษที่ถูกงัดมาใช้รักษาสารพัดปัญหา แต่ว่าบางเรื่องก็เกิดอาการสะดุดตอจนผู้ใช้อำนาจต้องรีบถอนคำสั่งแบบตาลีตาเหลือก ไม่เพียงเท่านั้นยังมีการใช้กฎหมายดังกล่าวนิรโทษกรรมกันไว้ล่วงหน้า โดยอ้างว่าถ้าทำไปด้วยความสุจริต จนเกิดคำถามตามมาว่าในเมื่อสุจริตแล้วทำไมจะต้องไปใช้กฎหมายพิเศษคุ้มกะลาหัว
อย่างไรก็ตาม คำพูดของคนในประวัติศาสตร์โดยเฉพาะที่เป็นมิติทางประชาธิปไตยคงจะอธิบายให้กับเหล่าคนในยุคนี้ได้ยาก เพราะขนาดถึงบอกว่าการเลือกตั้งไม่ใช่ทั้งหมดของประชาธิปไตยและหนึ่งเสียงของคนไม่เท่ากัน จนมีความพยายามจะคิดสูตรเลือกตั้งแบบพิลึกพิลั่น มันก็เป็นภาพสะท้อนแล้วว่า คนเหล่านั้นต้องการสร้างประชาธิปไตยที่สมบูรณ์แบบไทยๆ หรือเพื่อไม่ต้องการให้คนอีกพวกได้ขึ้นสู่อำนาจ ตามกลไกประชาธิปไตยที่เป็นสากลกันแน่
ในขณะที่เกิดคำถามและการเฝ้าติดตามกระบวนการสร้างประชาธิปไตยของผู้มีอำนาจ รายทางกลับปรากฏเรื่องการทุจริตที่ไม่ควรจะเกิดขึ้นกับโครงการที่ยิ่งใหญ่เช่นนี้ นั่นก็คือ การก่อสร้างอุทยานราชภักดิ์ ที่ พลเอกอุดมเดช สีตบุตร รัฐมนตรีช่วยกลาโหมในฐานะอดีตผบ.ทบ. ออกมายอมรับเองว่า มีการเรียกเก็บหัวคิวค่าหล่อพระบรมรูปบูรพกษัตริย์ 7 พระองค์
ทว่าหลังจากรู้ข่าวก็สั่งให้มีการนำเงินเหล่านั้นไปบริจาค อันเป็นที่มาของการตั้งข้อกังขามันง่ายเกินไปหรือเปล่า ความผิดสำเร็จแล้วแค่คืนเงินก็ถือเป็นอันจบกัน ทั้งหมดทั้งมวลคงต้องฟังบทสรุปของคณะกรรมการที่ พลเอกธีรชัย นาควานิช ผบ.ทบ.ตั้งขึ้นมาตรวจสอบซึ่งน่าจะมีบทสรุปภายในสัปดาห์นี้ เนื่องจากมีการขีดเส้นให้จบภายใน 7 วัน
มาถึงตรงนี้ปาฐกถาของอาจารย์ผาสุกที่ยกเอามุมเรื่องการต่อต้านการคอร์รัปชั่นและสร้างความโปร่งใสของอาจารย์ป๋วยมาบอกกล่าวก็ยิ่งน่าสนใจเข้าไปใหญ่ ในเวลานั้นอาจารย์ป๋วยได้แสดงความกล้าหาญที่จะกล่าวเตือนจอมพลถนอม กิตติขจร ขณะดำรงตำแหน่งนายกรัฐมนตรี เรื่องการทับซ้อนของผลประโยชน์เนื่องจากจอมพลถนอมดำรงตำแหน่งกรรมการอำนวยการของธนาคารพาณิชย์ถึง 2 แห่ง
โดยอาจารย์ป๋วยได้ตั้งคำถามถึงความสมควรจะเข้าไปเกี่ยวข้องในลักษณะเช่นนี้ และวิธีที่ท่านทำก็ตรงไปตรงมา กล่าวคือ ท่านได้แสดงปาฐกถาเนื่องในงานเลี้ยงประจำปีของสมาคมธนาคารไทยในปี 2507 โดยกล่าวเป็นกลอนสุภาพ เกริ่นนำโดยยกย่องหลักการอันดีของจอมพลถนอมที่ว่า ผู้ที่เป็นรัฐมนตรี จะต้องไม่ยุ่งเกี่ยวกับกิจการทางการค้า
แต่อาจารย์ป๋วยก็ได้ตั้งคำถามข้อหนึ่ง ซึ่งไม่สามารถตอบได้นั่นคือ กิจการธนาคารเป็นการค้าหรือไม่ หลังจากได้อ่านคำปราศรัยนี้ ในวันรุ่งขึ้นจอมพลถนอมได้ประกาศลาออกจากคณะกรรมการอำนวยการของธนาคารทั้งสองแห่งทันทีและมีคำสั่งให้รัฐมนตรีคนอื่นปฏิบัติตาม กรณีของอุทยานราชภักดิ์อาจไม่ใช่เรื่องการค้าแต่หนักหนาสาหัสกว่าเพราะเป็นเรื่องไม่สมควรที่จะเกิดขึ้นกับโครงการที่มีผลต่อจิตใจของคนไทยทั้งประเทศเช่นนี้
สิ่งที่ต้องตระหนักกันให้มากขึ้นไปอีกคงเป็นกรณีที่องค์กรเพื่อความโปร่งใสนานาชาติเผยแพร่รายงานดัชนีการป้องกันคอร์รัปชั่นในกองทัพ เมื่อวันที่ 4 พฤศจิกายนที่ผ่านมา โดยจัดให้กองทัพไทย อยู่ในระดับ E มีความเสี่ยงสูงมากต่อการเกิดคอร์รัปชั่น มากไปกว่านั้น ตอนท้ายของรายงานดังกล่าวยังระบุว่า ในทางปฏิบัติผู้ยิ่งใหญ่ของคนมีสีเข้าไปยุ่งเกี่ยวกับการจัดซื้อจัดจ้างเรียบร้อยแล้ว
สรุปง่ายๆ ก็คือมีการล็อกสเปกก่อนที่รัฐมนตรีจะรู้เรื่องคำขอจัดซื้อจัดจ้างรายการนั้นๆ เสียอีก ด้วยเหตุนี้จึงทำให้ต้นทุนในการจัดซื้อสูงกว่าที่ควรจะเป็นถึง 30-40 เปอร์เซ็นต์ ประเด็นเช่นนี้ในยุคที่มีผู้นำเป็นคนมีสีมาก่อนและต้องการจะกวาดล้างการทุจริคคดโกงให้สิ้นซาก จะต้องทำความสะอาดกันขนานใหญ่ เมื่อท่านพูดคนจะฟัง แต่ท่านต้องลงมือทำคนถึงจะเชื่อ แต่หากปล่อยให้คนเบื่อและเห็นความเลวร้ายที่ไม่ต่างจากนักการเมืองและข้าราชการชั่ว ก็นึกภาพไม่ออกเหมือนกันว่าจุดจบมันจะเป็นอย่างไร