KLINIQ ตอกย้ำหุ้น “โกรทสต๊อก” มั่นใจรายได้-กำไรนิวไฮ กางแผนเปิด 6-10 สาขา/ปี

KLINIQ เทรดวันแรกทะยานเหนือจอง 46.94% สะท้อนความเชื่อมั่นผู้นำตัวจริงของธุรกิจสุขภาพและความงามครบวงจร พร้อมลุยขยายสาขา 6-10 แห่ง/ปี ตอกย้ำความเป็นหุ้น Growth Stock ไร้หนี้ที่มีภาระดอกเบี้ย


บริษัท เดอะคลีนิกค์ คลินิกเวชกรรม จำกัด (มหาชน) หรือ KLINIQ เข้าเทรดตลาดหลักทรัพย์ เอ็ม เอ ไอ (mai) ในวันที่ 7 พฤศจิกายน 2565 เป็นวันแรก ได้รับการตอบรับจากนักลงทุนอย่างคึกคัก เปิดตลาดที่ระดับ 36.00 บาท เพิ่มขึ้น 11.50 บาท หรือ 46.94% เทียบราคาไอพีโอที่ 24.50 บาท

นายแพทย์อภิรุจ ทองวัฒน์ ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร KLINIQ เปิดเผยว่า ราคาหุ้นของ KLINIQ ที่พุ่งสูงกว่าราคาไอพีโอ ถือเป็นสิ่งที่สะท้อนให้เห็นถึงความเชื่อมั่นของนักลงทุนทั่วไป นักลงทุน VI และนักลงทุนสถาบัน ที่มองเห็นถึงศักยภาพการเติบโตได้อีกมาก หลังเข้าจดทะเบียนในตลาดหลักทรัพย์ mai เพื่อรองรับแผนขยายธุรกิจในช่วง 1-3 ปีข้างหน้า ผลักดันผลการดำเนินงานของบริษัทฯเติบโตอย่างก้าวกระโดด สร้างสถิติสูงสุดใหม่ต่อเนื่อง

สำหรับเงินที่ได้รับจากการขยายไอพีโอในครั้งนี้ บริษัทฯ เตรียมนำเงินไปใช้ในการขยายสาขาคลินิกเวชกรรมราว 6-10 สาขาต่อปี ครอบคลุมพื้นที่กรุงเทพฯ หัวเมืองหลัก และหัวเมืองรอง โดยคาดว่าจะใช้เงินลงทุนขยายคลินิกเวชกรรมและจัดซื้อเครื่องมือทางการแพทย์เพิ่มเติมประมาณ 950 ล้านบาท คาดว่าจะคืนทุนภายใน 2-3 ปี ส่วนศูนย์ศัลยกรรมจะใช้เงินลงทุนประมาณ 150 ล้านบาท คาดว่าจะคืนทุนภายใน 3-4 ปี

จากโมเดลธุรกิจ Asset Light ฐานะทางการเงินที่มีความแข็งแกร่ง ไร้หนี้ที่มีภาระดอกเบี้ย แบรนด์ THE KLINIQUE ที่มีความแข็งแกร่ง มีฐานลูกค้ากว่า ที่มีกว่า 2 แสนราย ที่เข้ามาใช้บริการประจำ ทำให้มี Recurring Income บวกกับแผนขยายสาขาใหม่ 6-10 สาขา/ปี มั่นใจว่าจะทำให้รายได้และกำไรของ KLINIQ เติบโตอย่างก้าวกระโดด สร้างสถิติสูงสุดใหม่ต่อเนื่อง” นายแพทย์อภิรุจ กล่าว

นายรัฐชัย ธีระธนาวัฒน์ ประธานเจ้าหน้าที่บริหารร่วมสายงานวาณิชธนกิจ ด้านตลาดทุน บริษัทหลักทรัพย์ ดาโอ (ประเทศไทย) จำกัด (มหาชน) หรือ DAOL ในฐานะปรึกษาทางการเงินและผู้จัดการการจัดจำหน่าย KLINIQ กล่าวว่า การที่ KLINIQ ได้รับการตอบรับจากนักลงทุนอย่างคึกคัก เนื่องจากมั่นใจในศักยภาพในการดำเนินธุรกิจของบริษัทฯ ซึ่งมีโอกาสเติบโตได้อีกมาก ในฐานะผู้นำธุรกิจความงามและสุขภาพ ซึ่งในแต่ละปีจะเห็นได้ว่าภาพรวมของอุตสาหกรรมมีอัตราการเติบโต Double Digit และจากสถานการณ์โควิด-19 ที่คลี่คลาย ทำให้ผู้บริโภคทั้งในและต่างประเทศเข้ามาใช้บริการมากขึ้น และจากแผนการขยายสาขาของบริษัทฯ ในช่วง 1-3 ปีข้างหน้า ยิ่งทำให้เห็นแนวโน้มรายได้และกำไรเติบโตอย่างก้าวกระโดด ตามจำนวนสาขาที่เพิ่มมากขึ้น ทั้งในกรุงเทพฯ และหัวเมืองรอง

“มั่นใจว่า KLINIQ จะเป็นหุ้น Growth Stock ที่สร้างผลตอบแทนที่ดีให้กับนักลงทุน ในฐานะคลินิกความงาม ที่ประสบความสำเร็จในการระดมทุนตลาดหุ้น รองรับแผนการเติบโตในอนาคต สอดรับเมกะเทรนด์” นายรัฐชัย กล่าว

ทั้งนี้ในส่วนของผลการดำเนินงานในงวด 6 เดือนแรกของปี 2565 ของ KLINIQ มีรายได้รวม 714.72 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 58.26% จากงวดเดียวกันของปีก่อนอยู่ที่ 451.59 ล้านบาท ส่วนกำไรสุทธิอยู่ที่ 100.22 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 67.03% เทียบงวดเดียวกันของปีก่อนกำไรสุทธิ 60.00 ล้านบาท ขณะที่กำไรสุทธิของปี 2564 ทั้งปีอยู่ที่ 129.25 ล้านบาท

โดย ณ วันที่ 30 มิถุนายน 2565 บริษัทฯ มีสาขารวมทั้งสิ้น 39 สาขาทั่วประเทศไทย แบ่งเป็น คลินิกเวชกรรมจำนวน 35 สาขา ศูนย์ศัลยกรรมจำนวน 1 สาขา และร้านทำเล็บจำนวน 3 สาขา มีกลุ่มลูกค้าเป้าหมายหลักทั้งผู้หญิงและผู้ชาย ในช่วงอายุระหว่าง 20-55 ปี ด้วยโปรแกรมการรักษาที่หลากหลายอันเกิดจากการผสมผสานนวัตกรรมทางการแพทย์ที่ทันสมัย กับความเชี่ยวชาญในการให้การรักษา รวมถึงงานบริการที่ได้มาตรฐาน จึงตอบโจทย์ทุกความต้องการ และสามารถสร้างความประทับใจให้กับลูกค้าได้อย่างต่อเนื่อง

Back to top button