เม่ารู้..โลกรู้
สถานการณ์โดยรวมของตลาดหุ้นไทยต่อจากนี้ คงอยู่ในช่วงของการยกฐานสูงขึ้นอย่างช้าๆ โดยระหว่างทางจะมีการเขย่าหุ้นในลักษณะเบาๆ จนไปถึงการสาดแรง
สถานการณ์โดยรวมของตลาดหุ้นไทยต่อจากนี้ คงอยู่ในช่วงของการยกฐานสูงขึ้นอย่างช้า ๆ โดยระหว่างทางจะมีการเขย่าหุ้นในลักษณะ “เบา ๆ” จนไปถึงการ “สาดแรง” และทั้งหมดจะขึ้นอยู่กับตลาดหุ้นต่างประเทศมีลักษณะ “เขียวปี๋” หรือ “แดงแป๊ด” เดี๊ยนเลยไม่วอรี่หากตลาดหุ้นไทยเดินหน้าไม่ไหว และโดนกระหน่ำขายอย่างหนักจากตัวเลขเศรษฐกิจฝั่งอเมริกา และยุโรปออกมาแย่กว่าที่คิดไว้นะคะ
ที่น่าสนใจคือ อาการของตลาดหุ้นไทยที่เด้งขึ้นแรงตั้งแต่เช้า พอตกบ่ายกลับโดนรินหุ้นออกมาตลอดเวลา แต่สามารถประคองตัวเหนือแนวรับ 1,620 จุดได้อีกครั้ง “โมนิก้า” มองเป็นเรื่องปกติของตลาดหุ้นที่อยู่ในช่วงไซด์เวย์อัพ จึงต้องเผชิญกับเหตุการณ์ในลักษณะนี้บ่อยเป็นพิเศษ วานนี้จึงเห็นดัชนีทำได้ดีสุดแค่การยืนปิดที่ระดับ 1,623.57 จุด ลบไป 2.75 จุด ด้วยมูลค่าการซื้อขาย 6.73 หมื่นล้านบาทไงละคะ
วันนี้จึงต้องถามแฟนคลับขาลุยทั้งหลายว่า พอใจกับสถานการณ์ของหุ้นไทยไหม? และจังหวะนี้เหมาะต่อการเข้าไปเล่นสั้นหรือเปล่า? ทั้งหมดเป็นเรื่องที่นักลงทุนต้องกลับไปคิดเป็นการบ้าน เพราะตลาดหุ้นไทยกำลังถูกแบ่งกลุ่มเป็น “หุ้นเด่น” กับ “หุ้นดับ” โดยใช้ผลประกอบการไตรมาส 3 เป็นตัวคัดแยกเบื้องต้น ต่อจากนั้นจะตามมาด้วยงบไตรมาส 4 ซึ่งเป็นตัวเดินเรื่องหลักในห้วงเวลานี้เจ้าค่ะ
ส่วนรายที่ยังดราม่าไม่เลิก และมีถูกถล่มด่าไม่เลิก “โมนิก้า” คงมองไปที่หุ้นร้อนไซด์ใหญ่ใจปลาซิวอย่าง BTG เป็นลำดับแรก เพราะปล่อยให้ปม “ปันผลหมื่นล้าน” และ “หุ้นไม่ติดไซเรนต์” ลากยาวตั้งสองสามวัน ก่อนจะออกมาชี้แจงให้สังคมหายสงสัย..แต่นั่นไม่ได้ทำให้ความรู้สึกของแมงเม่าดีขึ้นแต่อย่างใด เพราะหลายคนยังชี้เป้าไปที่ตัวต้นเหตุ บล.เกียรตินาคินภัทร ซึ่งเป็นคนที่นั่งในตำแหน่งที่ปรึกษาทางการเงินพะย่ะค่ะ
ว่ากันว่า การตั้งราคาขายไอพีโอสูงถึง 40 บาท และยังมีกรีนชูออกมาอีก 65.2 ล้านหุ้น ทำให้ค่ายนี้ฟันค่าฟีเข้ากระเป๋าตุงกันเลยทีเดียว! จนมีการตั้งคำถามถึงเหตุผลในการตั้งราคาขายแบบนี้..เหมือนตั้งใจให้แมงเม่าถูกฟันหัวแบะเลยนะเนี่ย แถมเมื่อเทียบราคากับยักษ์ใหญ่ขายไก่ขายหมู CPF ยิ่งทำให้นักเล่นรุมนินทาคนที่ทำหน้าที่เอฟเอ กับกลุ่มผู้บริหารอย่างดุเดือด เพราะเหมือนไม่มีดิสเคาท์ให้เท่าได้หนีกันเลยน่ะซี
ไม่เพียงเท่านั้น..ยังมีการเม้าท์มอยถึงเรื่องกรีนชูในยุคหลังมันแปรเปลี่ยนไปมากเหลือเกิน ทั้งที่เจตจำนงดังเดิมใช้เป็นเครื่องมือรักษาเสถียรภาพราคาหุ้นที่ซื้อขายวันแรก แต่บริษัทหลักทรัพย์ดังกล่าวก็ไม่ใช้เครื่องมือที่ว่า และปล่อยให้ราคาหุ้นทรุดลงไปปิดต่ำสุดของวันที่ 36.25 บาท หรือลงไปราว 9.40% ก่อนจะมาใช้กรีนชูอย่างจริงจังในวันถัดมา บรรดาขาเผือกเลยเชื่อกันว่า “ขายแพง ซื้อถูก” กำไรพุงปลิ้นแน่ ๆ นะตัวเอง
เรื่องดังกล่าวยังถูกพาดพิงไปถึง บล.บัวหลวง ซึ่งเป็นผู้จัดการการจัดจำหน่ายหุ้นอย่างรวดเร็ว เพราะมีข่าวลือเอาหุ้นไปยัดใส่มือลูกค้ารายใหญ่ และรายย่อยกันอย่างอุตลุด แถมยังเม้าท์มอยกันสนุกปากในทำนอง “อยากได้เพิ่มเท่าไหร่ ก็จัดให้ได้ไม่อั้น” พร้อมกับมีการขึ้นบัญชีดำบริษัทหลักทรัพย์ทั้งสองแห่งแบบนี้ “โมนิก้า” เม้าท์ได้ทันทีว่า คนที่จะซวยหนักจากเรื่องที่เกิดขึ้นเที่ยวนี้คงเป็นหัวเรือใหญ่อย่าง “เฮีย.วสิษฐ” เพราะต้องเป็นคนตอบคำถามสังคมตลอดเวลา! หนูหละสงสาร..สงสาร แต่ก็ช่วยได้แค่บอกเล่าความรู้สึกของแมงเม่าเจ้าค่ะ
ไหน ๆ มาเรื่องวงการโบรกเกอร์กันทั้งที “โมนิก้า” ขอเม้าท์ถึงเรื่องลับของโบรกเกอร์สัญชาติเกาหลีกันต่อเลยดีกว่า เพราะเรื่องนี้ก็เกี่ยวข้องกับเงินทอนของหุ้นน้องใหม่ที่เพิ่งเทรดกันเสียด้วย และกลายเป็นเรื่องราวที่ซุบซิบตามซอกตึกถนนวิทยุกันให้ตรึมเมื่อ 3 สัปดาห์ก่อน โดยงานนี้มีตัวการหลักเป็นมาร์เก็ตติ้งพเนจรที่ชื่อ “หนุ่ม” ซึ่งทำหน้าที่จัดสรรหุ้นให้ลูกค้าไฮเน็ตเวิร์ค แต่ไม่มีใครรู้ความสัมพันธ์กับผู้บริหารโบรกเกอร์กิมจิลึกแค่ไหนพะย่ะค่ะ
ว่ากันว่า..หุ้นไอพีโอที่จัดสรรมีทั้งหมด 15 ล้านหุ้น ซึ่งวางเงื่อนไขจะได้เพียงคนละล้านหุ้น โดยทุกคนต้องเปิดพอร์ตเพื่อเป็นลูกค้าที่โบรกเกอร์นี้ เมื่อถึงวันเข้าเทรดต้องแบ่งกำไรให้มาร์เก็ตติ้งที่ชื่อหนุ่ม 30% (รับเป็นเงินสดเท่านั้น) และถอนได้เฉพาะเงินที่ได้กำไร ส่วนเงินลงทุนต้องแช่ไว้หนึ่งปี..สุดท้ายดีลก็ไม่เกิด เพราะกลุ่มลูกค้ากลัวโดนคดี เลยไม่มีใครเล่นด้วย เนื่องจาก “หนุ่ม” ไม่ใช่พนักงาน แถมยังเคยพัวพันกับมาร์เก็ตติ้งที่ฆ่าตัวตายจากเรื่องบล็อกเทรด “โมนิก้า” จึงขอเตือนด้วยความหวังดีว่า จะทำอะไรก็ควรเกรงใจชื่อเสียงคนที่มานั่งเป็นกรรมการด้วยนะจ๊ะ