ก๊วน J ไม่แกง!
อันที่จริง “โมนิก้า” ไม่ใช่หญิงสาวที่ “โหดร้าย ปากจัด” เหมือนที่หลายคนจินตนาการ จึงอยากชี้แจงให้มิตรสหายในแวดวงตลาดหุ้นได้เข้าใจ
อันที่จริง “โมนิก้า” ไม่ใช่หญิงสาวที่ “โหดร้าย ปากจัด” เหมือนที่หลายคนจินตนาการ จึงอยากชี้แจงให้มิตรสหายในแวดวงตลาดหุ้นได้เข้าใจในสิ่งที่เดี๊ยนปฏิบัติกับแต่ละคน ล้วนมีเจตนาหวังดีกับทุกคน! ในขณะเดียวกันก็ยอมรับว่า หลายคนอาจมองเดี๊ยนเป็นสาวสวยประเภทปากปีจอตัวแม่! ก็ไม่ใช่เรื่องแปลกประหลาดอะไรทั้งนั้น เพราะบุคลิกส่วนตัวของเดี๊ยนมันทำให้เชื่อเช่นนั้นจริง ๆ นะคุณแม๊!
วันนี้จึงเป็นอีกครั้งที่ขอเม้าท์เรื่องร้อนของคนในวงการตลาดหุ้นสักหน่อย เพราะมันมีการกระพือข่าวลือออกไม่หยุดหย่อน ซึ่งบางครั้งก็เป็นการลือกันไปเรื่อยเปื่อย แต่บางครั้งก็มีเรื่องจริงปนอยู่บ้างเหมือนกัน “โมนิก้า” จึงขอประเมินสิ่งต่าง ๆ ที่เกิดขึ้นด้วยวิจารณญาณส่วนตัว ซึ่งแฟนคลับมีสิทธิ์ที่จะ “เชื่อ” หรือ “ไม่เชื่อ” ได้ทั้งนั้น! แต่อย่างน้อยถือว่า น้องโมได้ทำหน้าที่ของตัวเองอย่างดีที่สุดแล้วพะย่ะค่ะ
โดยเรื่องนี้เกี่ยวข้องกับหุ้นในกลุ่มเจมาร์ทโดยตรง เพราะการทรุดตัวลงแรงของหุ้นเมื่อวันก่อน มันทำให้ข่าวเม้าท์ตามซอกตึกออกรสชาติมากขึ้นกว่าเดิม “โมนิก้า” จึงต้องการเข้าไปเผือกกับเขาสักหน่อย และข้อมูลตั้งต้นที่ได้มาจากหลายแหล่งก็เม้าท์ตรงกันว่า มันเกิดจากบทวิเคราะห์ที่มีการพูดถึงกำไรของ SINGER ในงวดไตรมาส 3 อาจออกมาไม่ดี เพราะได้รับผลกระทบจากน้ำท่วมในช่วงที่ผ่านมาเจ้าค่ะ
ประเด็นตรงนี้เป็นจุดเริ่มต้นของมหกรรมสาดหุ้นทิ้งทั้งกลุ่ม ไล่เรียงตั้งแต่ตัวแม่ JMART รองลงมาเป็น SINGER และตัวที่โดนลูกหลงแบบงง ๆ อย่างหุ้น JMT ก็ถูกจัดหนักเช่นกัน ขณะที่น้องเล็กสุดอย่าง J ยังอยู่รอดปลอดภัย “โมนิก้า” จึงต้องออกมาสังคายนาเรื่องราวด้วยตนเอง ผนวกกับพรายกระซิบรบเร้าให้เม้าท์ถึงวิธีคิดที่มีต่อหุ้นกลุ่มนี้ จึงไม่อยากขัดศรัทธาของญาติโยมที่ชอบเผือกเหมือนกับอีฉันจ้า!
เรื่องนี้ขอตั้งตุ๊กตาเพื่อเทียบเคียงให้เห็นภาพง่าย ๆ ก่อนเลย และภายใต้สมมติฐานกำไรซิงเกอร์ลด 40 ล้านบาท ก็จะเกิดเอฟเฟกต์กับหุ้นตัวนี้แบบไม่เลี่ยงไม่ได้ ซึ่งเป็นเรื่องปกติที่เกิดขึ้นกับตลาดหุ้นไทย เพียงแต่เอฟเฟกต์ดังกล่าวจะส่งผลกระทบต่อ JMART มากน้อยขนาดไหน? ก็เป็นเรื่องที่ต้องเทียบเคียงกันอีกที และเมื่อดูจากสัดส่วนการถือหุ้นในซิงเกอร์ก็จะเห็นว่า เจ มาร์ทถือหุ้นประมาณ 25% นะออเจ้า
นั่นหมายความว่า เมื่อนำเอากำไรที่หายไป 40 ล้านบาท มาคูณกับสัดส่วนถือหุ้น 25% ก็จะทำให้กำไรที่เจ มาร์ทควรจะรับรู้หายไป 10 ล้าน ซึ่งเป็นตัวเลขที่น้อยมาก ๆ เมื่อเทียบกับกำไรต่อไตรมาสที่ทำได้ราว ๆ 400 ล้าน และเมื่อคิดเป็นสัดส่วนที่หายไปก็อยู่ในระดับ 2.50% แถมเมื่อเทียบทั้งปีคาดกันว่า กำไรปีนี้จะแตะระดับพันล้าน ก็จะมีเอฟเฟกต์กับกำไรของเจ มาร์ทแค่ 1% ซึ่งเป็นการย้ำหัวหมุดว่า ไม่ซีเรียสนะคะ
ส่วนรายที่น่ากังวลในมุมมองของ “โมนิก้า” คงมองไปที่หุ้นตามหนี้ชั้นนำของประเทศอย่าง JMT เพราะรายนี้ไม่เกี่ยวข้องในแง่ของการบันทึกกำไรจากซิงเกอร์ และทุกอย่างก็ยังออนโปรเซสเหมือนเดิมทุกประการ เดี๊ยนถึงมองการร่วงลงของราคาหุ้นเป็นเรื่องของอารมณ์มันพาไป และเรื่องนี้ก็คงเกี่ยวข้องกับข่าวลือที่พูดกันปากต่อปากในลักษณะคนแรกบอกใบ้ว่า “หน้ายาว ๆ มีหูตั้ง ๆ มีหางยาว ๆ” ซึ่งต้องการสื่อความหมายมันคือ “หนู” แต่พอพูดกันไปเรื่อยเปื่อย และมีการตีความตามความคิดของตัวเองเป็นหลัก จึงกลายเป็นสัตว์อีกตัวหนึ่งก็คือ “ค…ล้วน ๆ ไม่มีวันผสม”..อิอิอิ
โฟกัสหลายอย่างเลยเด้งกลับไปหาพวกขาใหญ่ ซึ่งในช่วงแรก ๆ ก็มีการพูดถึง บีทีเอสเป็นคนสาดหุ้น (ช่วงแรก ๆ ที่หุ้นเจ มาร์ทลง) ถัดมาก็มีการพูดถึงกลุ่มของอ.ไพบูลย์ กับ หมอพงษ์ศักดิ์ (มีทั้งเจ มาร์ท และเจ เอ็ม ที) ขณะที่ล่าสุดก็เม้าท์ไปถึงเซียนฮง ซึ่งเข้ามาเกาะแกะกับหุ้น SINGER บ่อยเหลือเกิน “โมนิก้า” ในฐานะคนกลางก็คงเม้าท์ได้แค่ข้อมูลที่มีอยู่ ส่วนเรื่องอื่นที่อยู่นอกเหนือจากนั้น..ไม่อยากพูดเยอะ เดี๋ยวจะหาว่า ออกหน้าเยอะนะตัวเอง
สรุปสุดท้ายก็คือ ทุกอย่างมันวัดกันที่กำไรบรรทัดสุดท้ายเป็นอย่างไร? เพราะแวลูของหุ้นมันจะถูกตีค่าจากตรงนี้เป็นหลัก และวิธีที่ทุกคนรับรู้กันเป็นอย่างดีก็คือ หุ้นที่มีโกรทจะเทรดบนพีอีที่ให้พรีเมียม “โมนิก้า” จึงต้องชี้ให้เห็นว่า วันนี้แฟนคลับมองหุ้นในกลุ่ม J เป็นอย่างไร? เพราะสิ่งที่เดี๊ยนรับรู้มาตลอดก็คือ กลุ่มนี้พยายามปั้นธุรกิจให้โตวันโตคืน และไม่ใช่พวกไก่กาที่หิวแสง..เชื่อหรือไม่เชื่อก็ช่างปะไร เพราะเวลาจะเป็นเครื่องพิสูจน์จ้า