พาราสาวะถี

การตอบคำถามนักข่าวของผู้นำเผด็จการเมื่อสัปดาห์ก่อนที่ว่า “อ๋อ ยัง ไม่ยงไม่ย้ายทั้งนั้นแหละ” ต่อประเด็นที่ว่าจะย้ายไปร่วมพรรครวมไทยสร้างชาติ


การตอบคำถามนักข่าวของผู้นำเผด็จการสืบทอดอำนาจเมื่อสัปดาห์ก่อนที่ว่า “อ๋อ ยัง ไม่ยงไม่ย้ายทั้งนั้นแหละ” ต่อประเด็นที่ว่าจะย้ายไปร่วมพรรครวมไทยสร้างชาติที่มี พีระพันธุ์ สาลีรัฐวิภาค เป็นหัวหน้าหรือไม่ เดิมทีมองกันว่าน่าจะเป็นวิสัชนาเชิงประชดประชันเสียมากกว่า เพราะตามการข่าวที่ยืนยันกันเป็นมั่นเหมาะก่อนหน้า หลังประชุมเอเปคยังไงท่านผู้นำก็จะไปสมัครเป็นสมาชิกพรรคดังกล่าวแน่ ตามฤกษ์ที่ได้กำหนดกันไว้  แต่ทำไปทำมากลายเป็นว่าเกิดการเปลี่ยนใจชนิดที่คนดีผู้ถือหางทั้งหลายถึงกับหน้าถอดสี

ความจริงมันก็ไม่ใช่เรื่องที่น่าแปลกใจ เพราะผู้นำเผด็จการสืบทอดอำนาจก็ไม่ประสงค์ที่จะเป็นนักการเมืองเต็มตัวตั้งแต่ต้น แต่ด้วยสถานการณ์ที่มันบีบ กระแสนิยมที่ตกต่ำ ประกอบกับความสัมพันธ์กับพี่ใหญ่ รวมทั้งแนวโน้ม ทิศทางการกำหนดตัวบุคคลเป็นแคนดิเดตนายกรัฐมนตรีของพรรคสืบทอดอำนาจ มันทำให้ท่านผู้นำต้องตัดสินใจทางการเมืองครั้งสำคัญ แต่หลังจากที่บรรดาที่ปรึกษาประเมินความคุ้มค่าแล้ว การไปสังกัดพรรค “เสียมากกว่าได้” จึงทำให้ต้องใส่เกียร์ถอยกันแบบกองเชียร์เฮเก้อ

อย่างที่รู้กันหลังชัดเจนเรื่องการสืบทอดอำนาจ การเดินเกมทางการเมืองของผู้นำเผด็จการสืบทอดอำนาจ ภายใต้องคาพยพขบวนการสืบทอดอำนาจ ได้วางหมากกลทุกอย่างไว้เพื่อให้อยู่กันไปยาว ๆ ขณะเดียวกัน ก็ยึดเอารูปแบบการวางตัวทางการเมืองเหมือนกับ พลเอกเปรม ติณสูลานนท์ โดยไม่เอาตัวเองไปเกลือกกลั้วกับนักการเมืองและพรรคการเมือง แม้จะได้ชื่อว่ามีคราบไคลของเผด็จการแต่โดยกระบวนการคือรัฐบาลที่ผ่านการเลือกตั้ง หมายถึงการได้รับการสนับสนุนผ่านพรรคการเมืองและระบบรัฐสภานั่นเอง

เมื่อเป็นเช่นนี้ ประกอบกับหลังเลือกตั้งครั้งหน้าผู้นำเผด็จการสืบทอดอำนาจจะสามารถอยู่ปฏิบัติหน้าที่ได้อีกไม่เกิน 2 ปี จึงไม่มีความจำเป็นที่จะต้องเปลืองตัว บรรดากุนซือจึงแนะนำว่า ทำตัวให้นิ่งใช้เสียงของ 250 ส.ว.ลากตั้ง เป็นพลังดึงดูดให้นักการเมืองและพรรคการเมืองที่กระเหี้ยนกระหือรืออยากเป็นฝ่ายรัฐบาลส่งเทียบเชิญเสนอชื่อเป็นแคนดิเดตนายกฯ ของพรรคใดพรรคหนึ่งก็เพียงพอแล้ว ซึ่งก็มีอยู่แล้วโดยไม่จำเป็นต้องสมัครเป็นสมาชิกแต่อย่างใด

แต่ในทางปฏิบัติมันไม่ได้ง่ายแบบนั้น เนื่องจากพรรคที่พร้อมจะเสนอชื่อผู้นำเผด็จการสืบทอดอำนาจเป็นแคนดิเดตนายกฯ อาจจะมีหลายพรรค แต่พรรคหลักคือรวมไทยสร้างชาติที่เป็นพรรคเกิดใหม่ ล้วนแล้วแต่เป็นพรรคที่ไม่ได้ถูกมองว่าจะได้เสียง ส.ส.มาเป็นกอบเป็นกำหรือมากพอที่จะมีพลังในการต่อรองให้เกิดการจัดขั้วรัฐบาลได้เหมือนเมื่อคราวเลือกตั้งหนก่อน สิ่งสำคัญการไม่สมัครเป็นสมาชิกรวมไทยสร้างชาติ มันก็ทำให้รัฐมนตรีสายตรงและ ส.ส.จากพรรคสืบทอดอำนาจที่วางแผนจะตีจากกันดิบดีพากันกุมขมับ

เมื่อผู้นำเผด็จการสืบทอดอำนาจที่ถูกวางเป็นตัวความหวังว่าจะทำให้พรรคตั้งใหม่อย่างรวมไทยสร้างชาติมี ส.ส.ในระดับที่มากพอสำหรับการจับมือพรรคการเมืองอื่นตั้งรัฐบาล หากท่านผู้นำไม่ยอมเข้าร่วมเป็นสมาชิกพรรคแล้ว นักเลือกตั้งจากพรรคแกนนำรัฐบาลที่ตกปากรับคำกันไว้ก็ไม่ยอมที่จะทิ้งพรรคเก่ามาเพื่อวัดดวงกันอย่างแน่นอน มิหนำซ้ำ สิ่งที่พี่ใหญ่แก๊ง 3 ป.ประกาศไว้ก่อนหน้าว่าจะไม่ให้ใครย้ายออกจากพรรค ก็เหมือนเป็นสัญญาณบ่งชี้ว่า อ่านเกมขาด

ถ้าเช่นนั้นจะเป็นปัญหาในการจัดทัพของพรรคสืบทอดอำนาจหรือไม่ ในเมื่อพวกสายตรงผู้นำเผด็จการสืบทอดอำนาจ จะขอปักหลักอยู่ต่อ คงไม่ใช่เรื่องยากที่จะบริหารจัดการ เพราะเวลานี้อยู่ในช่วงของการเตรียมความพร้อมกันอยู่พอดี ขอแค่ให้มีความชัดเจนจะได้วางตัวกันถูก บวกกับการดึงคนที่ออกไปก่อนหน้ากลับมาสร้างพลังให้กับพรรค แต่การเดินเกมการเมืองเที่ยวนี้พี่ใหญ่ก็ต้องคุยกับน้องเล็กให้ชัด ถ้าขั้วเดิมยังสามารถจัดตั้งรัฐบาลกันได้ หลัง 2 ปีไปแล้วต้องพี่ใหญ่เท่านั้นที่จะก้าวขึ้นเป็นผู้นำประเทศคนต่อไป

เหตุผลที่ต้องให้การันตีกันอย่างนี้ มาจากที่กุนซือของพี่ใหญ่สืบทราบมาว่าน้องเล็กได้แอบไปตกลงกันไว้กับ อนุทิน ชาญวีรกูล หัวหน้าพรรคภูมิใจไทย ถ้าครบวาระการเป็นนายกฯ 8 ปีแล้ว จะแตะมือส่งไม้ต่อให้เสี่ยหนูทำหน้าที่ผู้นำประเทศ โดยที่ตัวเองขอมีตำแหน่งรัฐมนตรีในรัฐบาลต่อไปไม่ว่าจะรองนายกฯ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงกลาโหม หรือรัฐมนตรีว่าการกระทรวงมหาดไทยก็ได้ เพราะตำแหน่งเหล่านั้นไม่ได้อยู่ในเงื่อนไขข้อห้ามตามรัฐธรรมนูญมาตรา 158 วรรคสี่

สูตรการเมืองสามารถคิดกันได้ พูดคุยต่อรองกันไว้ก่อนก็ไม่ใช่ปัญหา แต่โจทย์ทางการเมืองว่าด้วยการเลือกตั้งครั้งหน้า พรรคที่เคยเป็นรัฐบาลอยู่เวลานี้มั่นใจว่าจะสามารถรวบรวมเสียงกันแล้วไปบวกกับ 250 ส.ว.เพื่อหนุนให้ผู้นำเผด็จการสืบทอดอำนาจกลับมาเป็นนายกฯ ต่อได้ง่ายดายอย่างนั้นหรือ รอบนี้การที่จะหาเสียง ส.ส.ให้เกินกึ่งหนึ่งของสภาน่าจะยาก หากกติกาการเลือกตั้งเป็นแบบบัตร 2 ใบ ถ้าจะตั้งได้ก็จะเป็นรัฐบาลเสียงข้างน้อยในสภาผู้แทนราษฎรเท่านั้น

นั่นเท่ากับว่า มันจะส่งผลต่อเสถียรภาพของรัฐบาลทันที ขนาดว่ามีเสียงเกินจากบรรดางูเห่ากินกล้วยในปัจจุบัน ยังเห็นได้ว่าหลายเรื่องก็ถูกหักกันกลางสภา ดีที่ว่าไม่ใช่กฎหมายสำคัญมันจึงไม่ส่งผลต่อเสถียรภาพของรัฐบาล สิ่งสำคัญที่บรรดาพรรคฝ่ายรัฐบาลปัจจุบันต่างรู้ดีก็คือ เจตนารมณ์ของประชาชนกับการเลือกตั้งครั้งหน้าต้องการให้เกิดความเปลี่ยนแปลง อยากได้รัฐบาลซึ่งมีผู้นำที่มีวิสัยทัศน์กว้างไกล มีความสามารถในการบริหารมาแก้ปัญหาปากท้องของประชาชน

ประเด็นนี้พี่ใหญ่เข้าใจดีจึงมีแก๊ง 3 ป.ใหม่เกิดขึ้น เพื่อให้ ป.มือประสานคนที่พี่ใหญ่ไว้ใจที่สุด ทำหน้าที่ต่อสายสร้างสัมพันธ์กับพรรคการเมืองฝ่ายค้าน เปิดทางที่จะจับมือกันตั้งรัฐบาลหลังเลือกตั้ง ไม่เพียงแค่ปัจจัยที่ว่าประชาชนต้องการได้คนใหม่เข้ามาทำงานเท่านั้น หากแต่ทีมที่ปรึกษาของพี่ใหญ่ก็มองเห็นว่า ทีมเศรษฐกิจของน้องเล็กที่ใช้งานกันอยู่นั้นไม่ใช่ของจริง ประกอบกับท่าทีของน้องรักตัวเองที่คิดว่าเป็นศูนย์กลางของทุกเรื่อง ทำให้กลายเป็นการแก้ไขปัญหาเหมือนลิงแก้แห ดังนั้น จึงต้องใช้มืออาชีพด้านเศรษฐกิจมาทำกันใหม่ ถ้าได้เปลี่ยนขั้วพี่ใหญ่เห็นว่าน่าจะรุ่งโรจน์ไม่ใช่สาละวันเตี้ยลงอย่างที่เป็นอยู่

Back to top button