WHA ส่งซิกรายได้ “ออลไทม์ไฮ” ตั้งเป้าปี 66 ยอดโอนที่ดิน 2 พันไร่

WHA ส่งซิกรายได้ปี 65 ออลไทม์ไฮ หลังยอดโอนที่ดินทะลุเป้าหมาย 1,650 ไร่ พ่วงธุรกิจโลจิสติกส์และยอดขายน้ำเติบโตแกร่ง พร้อมตั้งเป้าปี 66 ยอดโอนที่ดิน 2,000 ไร่


นางสาวจรีพร จารุกรสกุล ประธานคณะกรรมการบริษัท และประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บริษัท ดับบลิวเอชเอ คอร์ปอเรชั่น จำกัด (มหาชน) หรือ WHA เปิดเผยว่า ผลประกอบการปี 2565 รายได้จะทำออลไทม์ไฮ เนื่องจากลูกค้ารายใหญ่ๆ รีบโอนที่ดินมากขึ้นเพื่อเร่งสร้างโรงงาน และมีปัจจัยบวกจากนักลงทุนต่างชาติยังดีต่อเนื่อง โดยหลักมาจากนักลงทุนกลุ่มประเทศจีน ตามมาด้วยสหรัฐอเมริกา ยุโรป และญี่ปุ่น กลับเข้ามาลงทุนกันหมดแล้ว

สำหรับธุรกิจรถ EV ประเทศไทยมาถูกทางแล้วยิ่งรัฐบาลให้การส่งเสริมก็จะทำให้เกิดมาร์จิ้นมากขึ้น เพราะประเทศไทยเป็นฐานในด้านการผลิตรถยนต์ พวกชิ้นส่วนรถยนต์ ยางรถยนต์อยู่แล้ว ซึ่งประเทศไทยมีการผลิตรถยนต์ปีหนึ่งประมาณ 2 ล้านคัน โดยส่งออกจำนวน 1 ล้านคัน และขายในประเทศ 1 ล้านคัน ถือว่าประเทศไทยมีอีโคซิสเต็มที่ใหญ่อยู่แล้วแค่เปลี่ยนมาผลิตรถ EV เท่านั้น ดังนั้นในประเทศไทยธุรกิจยานยนต์ อิเล็กทรอนิกส์ คอนซูเมอร์ เติบโตต่อเนื่อง

ขณะเดียวกันเป็นเรื่องที่ดีที่ประเทศไทยเป็นเจ้าภาพในการจัดงานเอเปค 2022 เพราะสามารถช่วยกระตุ้นการลงทุน ทั้งจีน และซาอุดีอาระเบีย ส่งผลดีต่อการลงทุนในประเทศ ขณะที่ในส่วนของ WHA ยังคงมุ่งมั่นสนับสนุนนโยบายการพัฒนาเศรษฐกิจชีวภาพ เศรษฐกิจหมุนเวียน และเศรษฐกิจสีเขียว (BCG) และแนวคิดการดำเนินธุรกิจที่มุ่งเน้นความยั่งยืน โดยไม่หวังผลกำไรเพียงอย่างเดียว (ESG) ตามกลยุทธ์หลักของ WHA ที่เน้นการพัฒนาและการเติบโตที่ยั่งยืน ตอบโจทย์ทั้งด้านสิ่งแวดล้อม ชุมชน และความสามารถในการทำกำไรแบบยั่งยืน

ส่วนการขยายเขตอุตสาหกรรมนิคมในประเทศเวียดนามนั้น ยังคงเดินหน้าต่อเนื่อง หลังจากได้พัฒนาแล้วเสร็จเป็นที่เรียบร้อยในส่วนของเฟส 1 ได้มีการปล่อยเช่าให้กับลูกค้าไปแล้วกว่า 70% และคาดว่าปลายปีนี้ได้ประมาณ 80-90% และขณะที่มีการเร่งเฟส 2 เนื่องจากลูกค้าจ่อเช่าอยู่แล้ว และยังมีเซ็น MOU เพิ่มเติมในนิคมอุตสาหกรรมอีก 2 จังหวัด โดยในจังหวัดถั่งหัว และจังหวัดกว๋างนามซึ่งตั้งอยู่ใจกลางภาคกลางเป็นตอนใต้ของดานัง  ซึ่งขณะที่อยู่ระหว่างรอ IRC โดยปีหน้าจะเริ่มมีการพัฒนารวมทั้ง 3 นิคมอุตสาหกรรมในเวียดนามมีพื้นที่ราว 20,000 ไร่ และเตรียมแผนจะทำนิคมแห่งที่ 4 กำลังพูดคุยอยู่อันนี้รอความชัดเจนอีกครั้งคาดว่าปีหน้าจะเห็นภาพ

สำหรับการเติบโตของธุรกิจในประเทศเวียดนามคาด 4-5 ปีข้างหน้ารายได้จะเติบโตแตะ 20% ของกรุ๊ป ส่วนสัดส่วนรายได้ในเวียดนามในปีนี้ยังน้อย แต่การโอนที่ดินในประเทศไทยกลับเติบโตมาก ทั้งนี้ภาพรวมสำหรับการโอนที่ดินมีการทะลุเป้าหมาย 1,650 ไร่ไปแล้ว

นอกจากนี้ยังมีธุรกิจที่เติบโตแกร่งอย่างธุรกิจโลจิสติกส์ ได้มีการลงนามสัญญาเช่าโครงการ Built-to-Suit และโรงงาน/คลังสินค้าสำเร็จรูปเพิ่มเติมทะลุ 120,000-130,000 ตารางเมตร ซึ่งเป็นตัวเลขที่สูงกว่าเป้าหมายที่วางไว้ทั้งปีที่ 100,000 ตารางเมตร ส่วนลูกค้าที่หมดสัญญาก็ได้มีการต่อสัญญาไปอีก ขณะที่ในตัวยอดขายน้ำปีนี้ยอดขายเติบโตแข็งแกร่ง ส่วนพลังงานดีโดยเฉพาะพลังงานแสงอาทิตย์ (โซลาร์ฟาร์ม) แต่ที่ไม่ดีในส่วนแบ่งกำไรเนื่องจากค่าก๊าซปรับตัวสูงขึ้น

สำหรับคาร์บอนเครดิตอย่างลืมว่าทาง WHA มีโซลาร์ และทำเกี่ยวกับน้ำการปล่อยคาร์บอนน้อยอยู่แล้วโดยปีที่ผ่านมามีจำนวน 19,000 ตัน ส่วนสิ้นปีหน้าคาดว่าจะมีประมาณ 3 แสนตัน และทางบริษัทยังเป็นสมาชิกของเครือข่ายคาร์บอนนิวทรัลประเทศไทยสามารถขายได้

นางสาวจรีพร กล่าวต่ออีกว่า ด้านนิคมอุตสาหกรรมในประเทศไทยที่มีการพัฒนาแล้วอยู่ประมาณ 4,000-5,000 ไร่ และกำลังรอการพัฒนาอีก 4,000-5,000 ไร่ และยังมีแผนขยายนิคมต่อเนื่องโดยการหาซื้อที่ดินเพิ่มเติม แต่อย่างไรก็ตามปี 2566 ตั้งเป้าโอนที่ดินราว 2,000 ไร่ เนื่องจากมีรายใหญ่ยังรอเซ็นสัญญา และมีการตั้งงบลงทุนใน 5 ปี ข้างหน้าประมาณ 5 หมื่นล้านบาท

นอกจากนี้ ประเมินว่าผลการดำเนินงานในปี 2566 บริษัทมั่นใจจะมีรายได้รวมเติบโตเป็นตัวเลข 2 หลัก เมื่อเทียบกับปี 2565 เนื่องจากทุกธุรกิจจะเติบโตต่อเนื่อง และธุรกิจพลังงานที่จะกลับมามีกำไรที่ดีขึ้น หลังคาดการณ์ราคาก๊าซจะปรับตัวลดลง พร้อมทั้งตั้งเป้าหมายมียอดขายที่ดินในนิคมอุตสาหกรรมไว้มากกว่าปี 2565 ซึ่งในเดือนมกราคาคม 2566 จะเห็นการโอนที่ดิน หรือดีลใหญ่อีกครั้งในนิคมอุตสาหกรรมประเทศไทย ทั้งการโอนที่ดินให้ลูกค้าที่เป็น EV และไม่ใช่ EV

สำหรับในปี 2566 ยอดขายที่ดินในประเทศเวียดนามจะดีกว่าปี 2565 เนื่องจากมีการโอนที่ดินต่อเนื่อง และยังเป็นปีที่เตรียมพร้อมในการพัฒนาที่ดิน และเจรจาในด้านต่าง ๆ กับทางรัฐบาล ซึ่งจะทำให้ในปี 2567 ยอดขายจะสูงขึ้นอย่างมีนัยยะ อีกทั้งได้ตั้งเป้าหมายในระยะ 5 ปีข้างหน้า ยอดขายที่ดินที่เวียดนามจะขยับขึ้นมาใกล้เคียง หรือเทียบเท่ายอดขายที่ดินของไทย รวมถึงมีรายได้คิดเป็น 20% ของพอร์ตรวมธุรกิจนิคมอุตสาหกรรม

Back to top button