พาราสาวะถี

พรรคเพื่อไทยจะแลนด์สไลด์หรือไม่ ขึ้นอยู่กับปัจจัยทางการเมืองหลังจากนี้ ประเภทขุดเอาผีทักษิณมาหลอกหลอน ลดทอนความนิยมคงยากที่จะมีคนเชื่อถือ


ทำเอาบรรดาพรรคการเมืองขนาดเล็กที่แอบลุ้นว่าจะมีโอกาสได้กลับมาใช้สูตรการเลือกตั้งแบบมี ส.ส.ปัดเศษ ทำให้เกิด ส.ส.เอื้ออาทรต่างผิดหวังไปตาม ๆ กัน เมื่อผลการพิจารณาศาลรัฐธรรมนูญมีมติเอกฉันท์ 9 ต่อ 0 วินิจฉัยว่าร่างพระราชบัญญัติประกอบรัฐธรรมนูญว่าด้วยการเลือกตั้ง ส.ส. ตราขึ้นถูกต้องตามรัฐธรรมนูญ มาตรา 132 และร่างกฎหมายดังกล่าวในมาตรา 25 ไม่มีข้อความขัดหรือแย้งต่อมาตรา 93 และมาตรา 94 และ มีมติเสียงข้างมาก 7 ต่อ 2 วินิจฉัยว่า ร่างฉบับดังกล่าวมาตรา 26 ไม่มีข้อความขัดหรือแย้งต่อรัฐธรรมนูญมาตรา 93 และมาตรา 94

สำหรับสาระสำคัญของมาตรา 25 และ มาตรา 26 เป็นการแก้ไขเพิ่มเติมให้ยกเลิกการคำนวณ ส.ส.พึงมี และ ส.ส.บัญชีรายชื่อพึงได้รับ ตามมาตรา 93 กรณีเลือกตั้งทั่วไปในเขตเลือกตั้งที่ต้องมีการเลือกตั้งใหม่ก่อนประกาศผลเลือกตั้ง หรือเลือกตั้งยังไม่แล้วเสร็จ หรือยังประกาศผลไม่ครบทุกเขตเลือกตั้ง ตามมาตรา 94 กรณีภายใน 1 ปี หลังวันเลือกตั้งทั่วไปแล้วมีการเลือกตั้งใหม่ด้วยเหตุไม่สุจริตและเที่ยงธรรม เป็นอันว่าจากนี้ไปทุกพรรคต้องเตรียมพร้อมเข้าสู่โหมดเลือกตั้งแบบบัตร 2 ใบกันแล้ว

ส่วนพรรคเพื่อไทยจะแลนด์สไลด์หรือไม่ ขึ้นอยู่กับปัจจัยทางการเมืองหลังจากนี้ ประเภทขุดเอาผีทักษิณมาหลอกหลอน ลดทอนความนิยมคงยากที่จะมีคนเชื่อถืออีกแล้ว พวกที่เชื่อก็เป็นบรรดากองเชียร์ขบวนการสืบทอดอำนาจแบบไม่ลืมหูลืมตา ซึ่งไม่ใช่เสียงที่จะเป็นตัวชี้วัดผลการเลือกตั้งครั้งหน้าอีกต่อไป เวลานี้คนส่วนใหญ่ไม่ได้มองภาพของระบอบทักษิณที่อุปโลกน์กันขึ้นมาของพวกอนุรักษ์นิยมสุดโต่งและบรรดาอีแอบที่เกาะชายกระโปรงหรือขากางเกงของมือที่มองไม่เห็นอีกต่อไป

ภาพการเมืองสำหรับการเลือกตั้งครั้งหน้าจะสู้กันที่นโยบาย การยกระดับคุณภาพชีวิตของประชาชน เพราะเข้าใจความต้องการของคนไทยส่วนใหญ่ที่ได้สัมผัสกับการบริหารงานที่ไม่เอาไหนของขบวนการสืบทอดอำนาจโดยการนำของผู้นำเผด็จการสืบทอดอำนาจตลอดระยะเวลากว่า 8 ปีที่ผ่านมาแล้ว คนส่วนใหญ่ต้องการความเปลี่ยนแปลง ดังนั้น พรรคไหนที่ไม่ได้ขายตัวบุคคล เอาแต่โหมประโคมข่าวสารสร้างไอโอทำลายฝ่ายตรงข้าม พรรคเหล่านั้นจะเป็นตัวเลือกลำดับต้น ๆ ที่ประชาชนจะตัดสินใจกาคะแนนให้

โจทย์ใหญ่สำหรับผู้นำเผด็จการสืบทอดอำนาจที่เดิมทีจะไปสมัครเป็นสมาชิกพรรครวมไทยสร้างชาติตั้งแต่วันที่ 21 พฤศจิกายน หลังเป็นเจ้าภาพประชุมเอเปคเสร็จสิ้น ต้องเลื่อนออกไปอย่างไม่มีกำหนด อ้างว่าพร้อมเมื่อไหร่ก็เมื่อนั้นคือปัญหาการคำนวณเก้าอี้ ส.ส.ของพรรคใหม่ที่จะต้องเอาให้ชัวร์ว่ามีจำนวนเสียงไม่น้อยกว่าร้อยละ 5 หรือ 25 คนจากจำนวน ส.ส. 500 คน เพราะกติกาตามรัฐธรรมนูญ คือ พรรคที่จะชงแคนดิเดตนายกรัฐมนตรีให้ที่ประชุมรัฐสภาเลือกตั้งมี ส.ส.ไม่น้อยกว่า 25 คน

หลังจากที่ สุชาติ ชมกลิ่น ได้ใช้ความพยายามที่จะดึงตัว ส.ส.ของพรรคสืบทอดอำนาจให้ไปอยู่ด้วยกันที่รวมไทยสร้างชาติ แต่ปรากฏว่าถูกพี่ใหญ่แก๊ง 3 ป.สกัดทุกทาง จนตัวเองต้องกระเด็นจากเก้าอี้ผู้อำนวยการพรรค โดยที่พี่ใหญ่ก็ได้ประสานกับแกนนำของ ส.ส.ในแต่ละกลุ่ม หากใครอยู่ต่อก็พร้อมดูแลอย่างเต็มที่ทำให้พวกที่อยากจะย้ายคอกต้องทบทวน ดีดลูกคิดกันใหม่ ย้ายไปแล้วสอบตกกับอยู่ที่เดิมแล้วไม่ได้เป็น ส.ส.แต่ไม่ต้องเดือดร้อนเรื่องความเป็นอยู่ จึงทำให้เกิดการหันหลังกลับกันเป็นแถว

ส่วนบรรดาพวกที่จะย้ายไปอยู่พรรคการเมืองอย่าง เพื่อไทย ภูมิใจไทย หรือแม้กระทั่งประชาธิปัตย์ พี่ใหญ่แก๊ง 3 ป.ไม่ได้ห้าม นั่นทำให้เห็นว่าสิ่งที่พูดไปเมื่อวันก่อน พรรคสืบทอดอำนาจกับรวมไทยสร้างชาติคือพรรคเดียวกัน เป็นเพียงคำหวานที่ทำให้น้องเล็กฟังแล้วเคลิ้มเท่านั้น เพราะความเป็นจริงมันตรงกันข้าม ส่วนหนึ่งเป็นเพราะพี่ใหญ่รู้ดีว่าการเลือกตั้งครั้งหน้าสถานการณ์จะเป็นอย่างไร ใครขายได้ขายไม่ได้ มิเช่นนั้น คงไม่พูดถึงประเด็นแคนดิเดตนายกฯ พรรคสืบทอดอำนาจต้องมีไม่น้อยกว่า 2 คน

จนเป็นเหตุให้น้องเล็กที่ต้องการเป็นเพียงแค่หนึ่งเดียวตัดสินใจกราบลาพี่ใหญ่ไปตายเอาดาบหน้า มิหนำซ้ำ ที่ทำให้การย้ายพรรคต้องคาราคาซังเป็นเพราะน้องเล็กไม่มั่นใจว่าถ้าไปสมัครเป็นสมาชิกพรรครวมไทยสร้างชาติโดยที่ตัวเองเป็นนายกฯ จากแคนดิเดตของพรรคสืบทอดอำนาจนั้น จะทำให้มีปัญหาตามมาหรือไม่ แม้เนติบริกรศรีธนญชัยจะการันตีไม่เป็นไร แต่ปลายสมัยแบบนี้อะไรที่เสี่ยง ผู้นำเผด็จการสืบทอดอำนาจจะไม่ทำเป็นอันขาด

นั่นจึงทำให้การจะประกาศตัวเข้าเป็นสมาชิกพรรครวมไทยสร้างชาติต้องรอไปจนกว่าจะมีการยุบสภา อย่างไรก็ตาม ดูเหมือนว่าการชักธงรบแบบเต็มตัวในสนามเลือกตั้งสำหรับผู้นำเผด็จการสืบทอดอำนาจน่าจะเห็นได้จากการแต่งตั้งรัฐมนตรีล่าสุด ที่มีพระบรมราชโองการโปรดเกล้าฯ ลงมาเมื่อวานนี้ (30 พ.ย.) แม้ส่วนหนึ่งจะเป็นการยอมในเงื่อนไขที่พี่ใหญ่ตั้งมา แต่ก็เป็นการรักษาหน้าตัวเองด้วยการที่มีชื่อของคนที่ท่านผู้นำไว้วางใจที่สุดคนหนี่งให้มาเป็นรัฐมนตรี

ในส่วนของ นริศ ขำนุรักษ์ นั่งรัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงมหาดไทยตามที่พรรคประชาธิปัตย์เสนออยู่แล้ว น่าสนใจคือรายของ ธนกร วังบุญคงชนะ อดีตโฆษกรัฐบาลที่ขึ้นชั้นเป็นรัฐมนตรีสำนักนายกฯ ตรงนี้ก็แน่นอนแล้วว่า เป็นความต้องการของผู้นำเผด็จการสืบทอดอำนาจที่จะใช้คนที่ทำงานตอบโต้คู่แข่งทางการเมืองได้อย่างถึงพริกถึงขิงให้มาทำหน้าที่ตรงนี้ เพื่อหวังผลในการเลือกตั้งครั้งหน้า สิ่งสำคัญประการต่อมาคือจะมีการย้ายพรรคของธนกรและจะมีตำแหน่งใหญ่โตที่พรรครวมไทยสร้างชาติ

ฟากของพี่ใหญ่แม้จะไม่ได้เก้าอี้ตามที่ต้องการทั้งหมด แต่อย่างน้อยการมีชื่อของ สุนทร ปานแสงทอง เป็นรัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงเกษตรและสหกรณ์ ก็ทำให้พี่ใหญ่ได้รักษาคำมั่นสัญญาที่ให้ไว้กับ ชนม์สวัสดิ์ อัศวเหม แกนนำกลุ่มปากน้ำที่เคยตกปากรับคำกันว่าจะหาเก้าอี้รัฐมนตรีให้คนในกลุ่ม ซึ่งรายของสุนทรนั้นเคยเป็นอดีตรองนายกองค์การบริหารส่วนจังหวัดสมุทรปราการมาก่อน เรียกว่าเป็นสายตรงของกลุ่มปากน้ำเลยทีเดียว เริ่มขยับกันอย่างนี้อีกไม่กี่อึดใจคงได้เห็นความชัดเจนต่อการย้ายพรรค เลือกข้าง ก่อนที่จะตามมาด้วยการยุบสภา

Back to top button